หอมกลิ่นความเดือด : WWE บน Netflix มีอะไรน่าดู น่าสนใจ?

Puttinan Klangpethphanich

January 02, 2025 · 2 min read

หอมกลิ่นความเดือด :  WWE บน Netflix  มีอะไรน่าดู น่าสนใจ?
aew | January 02, 2025

นับตั้งแต่พ้นค่ำคืนอันสวยงามที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยพลุมากมายนับพัน ก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2025 อย่างเป็นทางการแล้ว แน่นอนว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วันนี้ เช่นกันกับ Netflix ที่ได้มีการเซ็นสัญญากับ WWE ยาวถึง 10 ปีด้วยมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ว่าแต่มวยปล้ำ WWE จะต่างจากเดิมอย่างไรและมีอะไรที่น่าดู น่าสนใจบ้าง เรามาวิเคราะห์กัน

ทิศทางของมวยปล้ำ WWE ใน Netflix ?

กระแสมวยปล้ำในภาพรวมในรอบ 10-15 ปีที่ผ่านมาดูซบเซาลงไปพอสมควร เหตุผลส่วนใหญ่จากปรับเรตเป็น PG ที่สามารถให้เด็กๆดูได้สบายใจมากขึ้น จากที่สมัยก่อนจะไม่ได้มีการนำเสนอคอนเทนต์เด็กแบบนี้เน้นเรียล เลือด ดุ จนทำให้หลายคนในยุคนั้นคิดว่าเป็นเรื่องจริง

แต่เพื่อความปลอดภัยของนักมวยปล้ำ ยุคสมัยและสปอนเซอร์ WWE จึงยอมปรับเรตเป็น PG แต่นั้นก็ทำให้หลายคนเบื่อและรู้สึกว่ามวยปล้ำเป็นแค่การแสดงตลกๆไม่ได้น่าสนใจเหมือนก่อน ยิ่งนานวันคนก็ยิ่งหายและพวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะกลุ่มลูกค้าของพวกเขาคือเด็กๆ

แต่สำหรับ Netflix ที่ทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีหลายๆคอนเทนต์ที่ Netflix กล้านำเสนอในแบบที่น่าตกใจ ด้วยความเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์เลยสามารถทำอะไรได้ง่ายกว่าโทรทัศน์

เช่นกันกับ WWE เมื่อพวกเขามาอยู่กับ Netflix พวกเขาก็ได้มีการปรับเรตอีกครั้งเป็น Raw TV-14 Smackdown TV-MA (ผู้ใหญ่ดูได้ แต่ เด็กควรมีผู้ปกครองคอยแนะนำ) และ NXT จะเป็นเรต TV-PG

 

แล้วมันจะต่างจากเดิมยังไง ?

สั้นๆง่ายๆคือ คำหยาบคาย เลือด เราจะได้เห็นมากกว่าเดิมแน่นอน แต่ถ้าให้ขยายความเพิ่มคือมวยปล้ำเป็นกีฬาที่ผสมกับเนื้อเรื่อง และเนื้อเรื่องที่ดีต้องมีการเล่าเรื่อง และการที่กรอบคำพูดหรือบริบทต่างๆทำได้กว้างขึ้นก็จะทำให้เนื้อเรื่องหรือการเล่าเรื่องทำได้หลากหลาย สมจริง ดุดัน มากขึ้น และนั้นคือเสน่ห์ของยุค Attitude Era ยุคทองของ WWE

ในยุค Attitude Era ก็ไม่ได้มีแมตซ์การปล้ำที่ดีหรือตราตรึงอะไรขนาดนั้น และสิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจคือการเล่าเรื่องในยุคนั้น โลกได้รู้จักกันนักมวยปล้ำดาวรุ่งปากแจ๋วที่ชื่อ The Rock หรือนักมวยปล้ำบ้าระห่ำอย่าง Stone Cold Steve Austin และอีกมากมาย

จำนวนเวลาฉายที่มากขึ้น ?

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงของ WWE ใน Netflix เช่น Smackdown ก็การปรับเวลาโชว์เป็น 3 ชั่วโมงแล้ว เรื่องเวลาก็สำคัญและท้าทายมากเช่นกัน อย่างที่บอกไปในส่วนของเนื้อเรื่องว่าพวกเขาก็สามารถเล่าเรื่องได้มากขึ้น แต่ต่อให้ทีมงานมีบทที่ดีแค่ไหน แต่ไม่มีเวลาให้เล่ามันก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นการเพิ่มเวลาให้ศึกรายสัปดาห์จึงสอดคล้องกัน

แต่มันก็มีความท้าทายหรือจะเรียกว่าความเสี่ยงเลยก็ได้ อยู่ในตัวเองเช่นกัน คือพอเวลามันมากขึ้นแล้วคุณมีเนื้อเรื่องที่ดีไว้ในมือมันจะยอดเยี่ยมมากๆ แต่ตรงกันข้ามถ้าพวกคุณไม่มีบทที่ดีพอ และต้องหาอะไรมายัดๆ เพื่อให้เต็มเวลา นั้นจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆและอาจจะส่งผลเชิงลบมากกว่าบวก ผู้คนอาจจะคิดว่านี่เราต้องเสียเวลา 3 ชั่วโมงมาดูอะไรเนี้ย

และไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องบอกว่าเป็นอยู่บ่อยๆด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ โชว์ของ WWE มักจะถูกแซวว่าเป็นโชว์ท้องช้างคือเปิดรายการและปิดรายการดี แต่ตรงกลางแย่ น่าเบื่อ และต้องย้ำอีกครั้งว่านั้นคือสมัยที่ยังไม่ต้องทำโชว์ 3 ชั่วโมงนะ

ดังนั้นถ้ายังทำแบบเดิมในโชว์ที่เวลามากขึ้นพวกเขาจะแย่แน่ๆ

 

WWE มีอะไรให้ดูบ้างใน Netflix ?

คอนเทนต์หลักๆของ WWE จะแบ่งเป็น 2 แบบคือ ศึกมวยปล้ำรายสัปดาห์ และ ศึกใหญ่ประจำเดือน
ศึกรายสัปดาห์จะประกอบไปด้วย Raw จะฉายทุกวันอังคาร NXT จะฉายทุกวันพุธ และ Smackdown จะฉายทุกวันเสาร์

ศึกรายเดือนต้องติดตามวันที่และเวลาจัดจากค่ายอีกที เพราะในบางศึกจัดในประเทศที่ต่างกันจึงต้องมีการปรับเวลาให้เหมาะสม

แต่ไม่เพียงเท่านั้น แฟนๆรุ่นเก่าที่คิดถึงอดีตหรือแฟนๆรุ่นใหญ่ที่อยากรับชมย้อนเจ๋งก็อดีตก็สามารถรับชมได้เลย เพราะใน Netflix ก็จะมีการอัพศึกเก่าในอดีตให้ชมอยู่เรื่อยๆเหมือนกัน ใครคิดถึงศึกไหน ปีไหนลองเข้าไปดูกันได้

เช่นกันกับสารคดีนักมวยปล้ำที่ก็มีมาให้รับชมเรื่อยๆ ซึ่งคอนเทนต์สารคดีเป็นอะไรที่แนะนำเลย

Tags