หอมกลิ่นความเดือด : WWE บน Netflix มีอะไรน่าดู น่าสนใจ?
นับตั้งแต่พ้นค่ำคืนอันสวยงามที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยพลุมากมายนับพัน ก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2025 อย่างเป็นทางการแล้ว แน่นอนว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วันนี้ เช่นกันกับ Netflix ที่ได้มีการเซ็นสัญญากับ WWE ยาวถึง 10 ปีด้วยมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ว่าแต่มวยปล้ำ WWE จะต่างจากเดิมอย่างไรและมีอะไรที่น่าดู น่าสนใจบ้าง เรามาวิเคราะห์กัน
ทิศทางของมวยปล้ำ WWE ใน Netflix ?
กระแสมวยปล้ำในภาพรวมในรอบ 10-15 ปีที่ผ่านมาดูซบเซาลงไปพอสมควร เหตุผลส่วนใหญ่จากปรับเรตเป็น PG ที่สามารถให้เด็กๆดูได้สบายใจมากขึ้น จากที่สมัยก่อนจะไม่ได้มีการนำเสนอคอนเทนต์เด็กแบบนี้เน้นเรียล เลือด ดุ จนทำให้หลายคนในยุคนั้นคิดว่าเป็นเรื่องจริง
แต่เพื่อความปลอดภัยของนักมวยปล้ำ ยุคสมัยและสปอนเซอร์ WWE จึงยอมปรับเรตเป็น PG แต่นั้นก็ทำให้หลายคนเบื่อและรู้สึกว่ามวยปล้ำเป็นแค่การแสดงตลกๆไม่ได้น่าสนใจเหมือนก่อน ยิ่งนานวันคนก็ยิ่งหายและพวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะกลุ่มลูกค้าของพวกเขาคือเด็กๆ
แต่สำหรับ Netflix ที่ทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีหลายๆคอนเทนต์ที่ Netflix กล้านำเสนอในแบบที่น่าตกใจ ด้วยความเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์เลยสามารถทำอะไรได้ง่ายกว่าโทรทัศน์
เช่นกันกับ WWE เมื่อพวกเขามาอยู่กับ Netflix พวกเขาก็ได้มีการปรับเรตอีกครั้งเป็น Raw TV-14 Smackdown TV-MA (ผู้ใหญ่ดูได้ แต่ เด็กควรมีผู้ปกครองคอยแนะนำ) และ NXT จะเป็นเรต TV-PG
แล้วมันจะต่างจากเดิมยังไง ?
สั้นๆง่ายๆคือ คำหยาบคาย เลือด เราจะได้เห็นมากกว่าเดิมแน่นอน แต่ถ้าให้ขยายความเพิ่มคือมวยปล้ำเป็นกีฬาที่ผสมกับเนื้อเรื่อง และเนื้อเรื่องที่ดีต้องมีการเล่าเรื่อง และการที่กรอบคำพูดหรือบริบทต่างๆทำได้กว้างขึ้นก็จะทำให้เนื้อเรื่องหรือการเล่าเรื่องทำได้หลากหลาย สมจริง ดุดัน มากขึ้น และนั้นคือเสน่ห์ของยุค Attitude Era ยุคทองของ WWE
ในยุค Attitude Era ก็ไม่ได้มีแมตซ์การปล้ำที่ดีหรือตราตรึงอะไรขนาดนั้น และสิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจคือการเล่าเรื่องในยุคนั้น โลกได้รู้จักกันนักมวยปล้ำดาวรุ่งปากแจ๋วที่ชื่อ The Rock หรือนักมวยปล้ำบ้าระห่ำอย่าง Stone Cold Steve Austin และอีกมากมาย
จำนวนเวลาฉายที่มากขึ้น ?
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงของ WWE ใน Netflix เช่น Smackdown ก็การปรับเวลาโชว์เป็น 3 ชั่วโมงแล้ว เรื่องเวลาก็สำคัญและท้าทายมากเช่นกัน อย่างที่บอกไปในส่วนของเนื้อเรื่องว่าพวกเขาก็สามารถเล่าเรื่องได้มากขึ้น แต่ต่อให้ทีมงานมีบทที่ดีแค่ไหน แต่ไม่มีเวลาให้เล่ามันก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นการเพิ่มเวลาให้ศึกรายสัปดาห์จึงสอดคล้องกัน
แต่มันก็มีความท้าทายหรือจะเรียกว่าความเสี่ยงเลยก็ได้ อยู่ในตัวเองเช่นกัน คือพอเวลามันมากขึ้นแล้วคุณมีเนื้อเรื่องที่ดีไว้ในมือมันจะยอดเยี่ยมมากๆ แต่ตรงกันข้ามถ้าพวกคุณไม่มีบทที่ดีพอ และต้องหาอะไรมายัดๆ เพื่อให้เต็มเวลา นั้นจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากๆและอาจจะส่งผลเชิงลบมากกว่าบวก ผู้คนอาจจะคิดว่านี่เราต้องเสียเวลา 3 ชั่วโมงมาดูอะไรเนี้ย
และไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องบอกว่าเป็นอยู่บ่อยๆด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ โชว์ของ WWE มักจะถูกแซวว่าเป็นโชว์ท้องช้างคือเปิดรายการและปิดรายการดี แต่ตรงกลางแย่ น่าเบื่อ และต้องย้ำอีกครั้งว่านั้นคือสมัยที่ยังไม่ต้องทำโชว์ 3 ชั่วโมงนะ
ดังนั้นถ้ายังทำแบบเดิมในโชว์ที่เวลามากขึ้นพวกเขาจะแย่แน่ๆ
WWE มีอะไรให้ดูบ้างใน Netflix ?
คอนเทนต์หลักๆของ WWE จะแบ่งเป็น 2 แบบคือ ศึกมวยปล้ำรายสัปดาห์ และ ศึกใหญ่ประจำเดือน
ศึกรายสัปดาห์จะประกอบไปด้วย Raw จะฉายทุกวันอังคาร NXT จะฉายทุกวันพุธ และ Smackdown จะฉายทุกวันเสาร์
ศึกรายเดือนต้องติดตามวันที่และเวลาจัดจากค่ายอีกที เพราะในบางศึกจัดในประเทศที่ต่างกันจึงต้องมีการปรับเวลาให้เหมาะสม
แต่ไม่เพียงเท่านั้น แฟนๆรุ่นเก่าที่คิดถึงอดีตหรือแฟนๆรุ่นใหญ่ที่อยากรับชมย้อนเจ๋งก็อดีตก็สามารถรับชมได้เลย เพราะใน Netflix ก็จะมีการอัพศึกเก่าในอดีตให้ชมอยู่เรื่อยๆเหมือนกัน ใครคิดถึงศึกไหน ปีไหนลองเข้าไปดูกันได้
เช่นกันกับสารคดีนักมวยปล้ำที่ก็มีมาให้รับชมเรื่อยๆ ซึ่งคอนเทนต์สารคดีเป็นอะไรที่แนะนำเลย
Picks and Pick'em is here!
More teams, more wins. Join a public league and draft instantly.