อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ : ตำนานพระเจ้าลูกหนังที่ไม่เคยได้เล่นทั้ง บอลโลก - ยูโร

Rittichai Sermsuteeanuwat

June 26, 2024 · 1 min read

อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ : ตำนานพระเจ้าลูกหนังที่ไม่เคยได้เล่นทั้ง บอลโลก - ยูโร
Football | June 26, 2024

อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ หากพูดถึงชื่อนี้ทุกคนก็น่ารู้ได้ทันทีว่านี่คือหนึ่งในสุดยอดตำนานของโคตรอภิมหาสโมสรอย่าง เรอัล มาดริด การซัลโวไป 308 ประตูจากการลงเล่น 398 นัด คว้าแชมป์ ลา ลีกา 8 สมัย และ ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 5 สมัย นั่นคือเครื่องพิสูจน์เขาคือ “พระเจ้าลูกหนัง” ในยุคนั้น

แต่หากพูดถึงในระดับนานาชาติเส้นทางของ ดิ สเตฟาโน่ กลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม เพราะว่าเขาไม่เคยได้โอกาสลงเล่นในศึก ฟุตบอลโลก และศึก ยูโร รอบสุดท้ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เดิมที อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ เกิดที่ อาร์เจนติน่า และได้โอกาสรับใช้ทัพ “ฟ้า-ขาว” 6 และทำได้ 6 ประตูในปี 1947 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการช่วยให้ อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์ เซาธ์ แอฟริกัน แชมเปี้ยนชิพ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ โคปา อเมริกา

ดิ สเตฟาโน่ มีโอกาสอันดีที่จะได้สัมผัสกับประกบการณ์ ฟุตบอลโลก ครั้งแรกในชีวิต แต่ในปี 1950 ทัวร์นาเมนต์ที่ บราซิล ทาง อาร์เจนติน่า ตัดสินใจที่จะถอนตัวไปเพราะมีปัญหากับทาง สหพันธ์ฟุตบอลบราซิล

จากนั้นช่วงที่ค้าแข้งอยู่ใน โคลอมเบีย กับ มิลโลนาริออส เจ้าตัวก็ไปเล่นให้ทัพ “โคเคน” อยู่ 4 นัดซึ่งไม่ได้การยอมรับจาก “ฟีฟ่า” เพราะเข้าข่ายฝ่าฝืนกฏการโอนสัญชาติก็เลยถูกสั่งแบนห้ามเป็นตัวแทนของ อาร์เจนติน่า

หลังจากเก็บข้าวของย้ายมาค้าแข้งกับ เรอัล มาดริด ในปี 1953 และค้าแข้งอยู่ 3 ฤดูกาล อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงประตูได้กระจุยกระจายก็ได้สัญชาติสเปน และตัดสินใจรับใช้ทัพ “กระทิงดุ” มานับตั้งแต่นั้น

แต่คราวซวยของเจ้าตัวก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ สเปน ไม่ผ่านรอบคัดเลือก ในทัวร์นาเมนต์ปี 1958 และที่หนักกว่าก็คืออีก 4 ปีต่อมา สเปน ได้โควต้าไปล่าแชมป์ที่ ชิลี ก็ดันมีปัญหาอาการบาดเจ็บและไม่มีชื่อติดโผ ก่อนจะประกาศรีไทร์ทีมชาติในเวลาต่อมา

เช่นเดียวกับทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปอย่าง ยูโร ด้วยผลงานส่วนตัว ณ ตอนนั้นที่กำลังพีคสุดๆ เช่นเดียวกับในรอบคัดเลือกที่เจอกับ โปแลนด์ ทาง สเปน ก็เล่นกระซวกไปยับเยินด้วยสกอร์รวม 7-2 ได้โควต้าไปเล่นเกมคัดเลือกรอบสุดท้าย

แต่ด้วยความที่ สเปน ถูกจับสลากเจอกับ สหภาพโซเวียต ทาง สเปน ก็เลยเลือกที่จะยอมโดนปรับแพ้โดยไม่ลังเล เพราะไม่อยากไปเหยียบแผ่นดินที่นั่น ส่วนเรื่องของเหตุผลไม่ได้เกี่ยวข้องกับฟุตบอลแต่เป็นเรื่องของสงครามและการเมืองระหว่างผู้นำของ 2 ประเทศ

ส่วนอีก 4 ปีต่อมาหรือ ยูโร 1964 ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับข้องกับทัพ “กระทิงดุ” เพราะนั่นคือปีที่ได้ชูถ้วยแชมป์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกในชีวิตซึ่งตอนนั้นตำนานแห่งค่าย “ราชันชุดขาว” ได้วางมือจากเกมทีมชาติไปแล้ว