1 เดือนกับ แมนฯยูฯ : รูเบน อโมริม เจออะไรมาแล้วบ้าง?

Maruak Tanniyom

December 13, 2024 · 2 min read

1 เดือนกับ แมนฯยูฯ : รูเบน อโมริม เจออะไรมาแล้วบ้าง?
Football | December 13, 2024
ตลอด 30 วันที่ผ่านมา กุนซือป้ายแดงของ แมนฯ ยูไนเต็ด เจอกับการรับน้องอะไรไปบ้าง

ไม่ทันไร รูเบน อโมริม เฮดโค้ชชาวโปรตุเกส ก็เข้ามาคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครบหนึ่งเดือนพอดี และแม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่ก็มีเรื่องราวมากมายให้พูดถึง

ด้วยเหตุนี้จึงขอพาไปดูว่าตลอด 30 วันที่ผ่านมา อดีตกุนซือสปอร์ติง ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และเขาเปลี่ยนอะไรในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด

ติดตามไปพร้อมกัน

อโมริม เผชิญอะไรมาบ้าง ?

อาจจะเรียกได้ว่าเป็น 30 วัน ที่น่าปวดหัวของ รูเบน อโมริม เฮดโค้ชชาวโปรตุเกสกับการเข้ามาคุมหางเสือให้อดีตยักษ์ใหญ่ที่กำลังตกต่ำ กลับมาอยู่ในมาตรฐานอย่างที่ควรจะเป็น

เพราะแค่นัดแรก อโมริม ก็ถูกตั้งคำถาม หลังทำได้เพียงแค่เสมอกับทีมท้ายตารางอย่าง อิปสวิช 1-1 และแม้ว่าเกมนัดต่อมาจะสามารถคว้าชัยเหนือ โบโด กลิมต์ จากนอร์เวย์ แต่ก็ค่อนข้างหืดจับ

เกมที่พูดได้เต็มปากว่านี่คือผลการแข่งขันที่ดีที่สุดภายของเฮดโค้ชวัย 39 ปี คือนัดที่เปิดบ้านไล่ถล่ม เอฟเวอร์ตัน ไปอย่างขาดลอย 4-0 ซึ่งเป็นเกมที่ปีศาจแดง แทบจะพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียว

ทว่าลูปนรกก็กลับมาเยือน แมนฯ ยูไนเต็ดอีกครั้ง แม้จะเปลี่ยนกุนซือ เมื่อพวกเขาต้องปราชัย 2 เกมรวด เริ่มจากการบุกไปแพ้ อาร์เซนอล 0-2 ต่อด้วยการพ่ายคาบ้านต่อ น็อตติงแฮม ฟอร์เรสต์ 2-3

ขณะเดียวกัน อโมริม ยังเผชิญกับปัญหาหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการปลด แดน แอชเวิร์ธ ผู้อำนวยการกีฬา พ้นจากตำแหน่ง ทั้งที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ไม่ถึง 5 เดือน หรือนโยบายเตรียมขึ้นค่าตัวของ เซอร์จิม แรดคลิฟฟ์ ที่เต็มไปด้วยเสียงต่อต้าน

แดน แอชเวิร์ธ ที่ทำงานกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เพียง 5 เดือน

หรือดราม่า นุสแซร์ มาซราอุย แนวรับของทีม ซึ่งเป็นชาวมุสลิมไม่ยอมสวมเสื้อแจ็คเก็ตสนับสนุน LGBTQ+ ก่อนเกม เอฟเวอร์ตัน ด้วยเหตุผลด้านความเชื่อ

นี่ยังไม่นับปัญหาเรื่องความฟิต ที่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งคอยฉุดรั้งให้ทัพปีศาจแดงโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีนัก ที่เป็นมาตั้งแต่สมัย โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ มาจนถึงยุคของ เอริค เทน ฮาก

อโมริม เปลี่ยนอะไรไปบ้าง?

แม้จะต้องเผชิญกับปัญหามากมาย แต่ดูเหมือนว่า อโมริม คาดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องเจอกับงานที่ซับซ้อนกว่าที่คิดไว้ ในตอนที่ตอบรับคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด

สิ่งที่เขาทำคือการเข้ามายกเครื่องระบบใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่จุดเล็กไปจนถึงจุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการฝึกซ้อมแบบเต็มสนามที่อคาเดมี ฮอลล์ เพื่อชดเชยเวลาฝึกซ้อมที่ไม่เพียงพอในสนามซ้อม

อันที่จริงอคาเดมี ฮอลล์ มักจะถูกใช้เป็นที่อบอุ่นร่างกายก่อนซ้อม ตอนยุคของ เทน ฮาก แต่สำหรับ อโมริม เขาเลือกที่จะใช้พื้นที่นี้ในการซ้อมเรื่องแทคติก โดยเน้นไปที่ตำแหน่งของผู้เล่น ในช่วงต่างๆ ระหว่างเกม

ขณะเดียวกัน อโมริม จะไม่ค่อยประชุมส่วนตัวกับนักเตะ โดยจะมอบหน้าที่นี้ให้ผู้ช่วยฯ เป็นคนจัดการแทน โดยเขาเป็นผู้ดูแลงานที่ทำเป็นทีม

แต่ถึงอย่างนั้น จุดเด่นของ อโมริม คือการให้ความใกล้ชิดกับนักเตะ จากแหล่งข่าวของ ESPN ระบุว่านี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ แมนฯ ยู เลือกเขา เนื่องจาก เทน ฮาก มีความห่างเหินกับทีมมากเกินไป

เนื่องจาก อโมริม เพิ่งจะอายุ 39 ปี ทำให้เขาพอจะจำได้ว่าสิ่งใดที่เขาชอบ และไม่ชอบ สมัยเป็นนักเตะ และหล่อหลอมมาเป็นสไตล์การคุมทีมของเขา

หนึ่งในนั้นคือการไม่ประชุมแผนหลังเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่กุนซือส่วนใหญ่ทำ แต่ อโมริม เลือกที่จะมาคุยในวันถัดมา เพราะทำให้เขาได้วิเคราะห์ส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม นอกจากนี้มันยังดีกว่าการพูดตอนที่นักเตะยังอารมณ์คุกรุ่น

เช่นกันกับในเกมการแข่งขัน อโมริม เป็นโค้ชที่ไม่ค่อยพูดคุยกับทีมตอนพักครึ่ง โดยเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตรียมตัวสำรอง หรือติวนักเตะเป็นรายบุคคล ดังที่เห็นในเกมกับ อาร์เซนอล ที่เขาออกมาจากห้องแต่งตัวก่อนเกมกลับมาเตะถึง 10 นาที เพื่อคุยกับ อาหมัด ดิยัลโล

นอกจากนี้ เขายังให้ความสำคัญกับนักเตะทุกคนในเชิงรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นประเพณีที่ผู้เล่นที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา จะต้องวิ่งฝ่าด่านเพื่อนร่วมทีมที่มารุมตบหัวอย่างสนุกสนาม หรือใช้ภาษาอังกฤษ สเปน โปรตุเกส เพื่อคุยกับนักเตะ ไปจนถึงทำความรู้จักครอบครัวของพวกเขา

อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่งเขาก็มีความเข้มงวด เขาออกกฎหลายอย่าง เช่น ห้ามนำอาหารเข้ามาในห้องแต่งตัวในวันที่มีวันแข่ง หรือต้องให้สัมภาษณ์บริเวณแผนกต้อนรับ ที่มีแบ็คดร็อปสปอนเซอร์อยู่ด้านหลัง จากเดิมที่มักจะใช้ห้องเล็กๆ ในตึกเป็นห้องสัมภาษณ์

แม้ว่าตลอด 30 วันที่ผ่านมา อาจจะเร็วเกินไป ที่จะประเมินว่ากุนซือชาวโปรตุเกสประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว แต่สิ่งที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือความกดดันในฐานะกุนซือของหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษ

ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือให้เวลา อโมริม ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการปรับจูนทีม ซึ่งเต็มไปด้วยแผลเต็มตัว เพื่อวันหนึ่งพวกเขาจะได้ยืนหยัดอีกครั้ง

และหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อดีตกุนซือสปอร์ติง ก็คงรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากแค่ไหน