5 เหตุผลที่ 10 นัดแรกของอิชิอิกับช้างศึก ต้องให้ 10 คะแนนเต็ม

Pipat Sathirawut

September 11, 2024 · 2 min read

5 เหตุผลที่ 10 นัดแรกของอิชิอิกับช้างศึก ต้องให้ 10 คะแนนเต็ม
Football | September 11, 2024

มาซาทาดะ อิชิอิ คุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ลงเตะครบ 10 นัดไปเรียบร้อยแล้ว โดยล่าสุดสามารถพาทีมบุกชนะเวียดนามได้ 2-1 ในเกมอุ่นเครื่องรายการ LPBank Cup 2024 เมื่อคืนวันอังคารที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้สถิติการคุมทัพช้างศึกของกุนซือชาวญี่ปุ่นรายนี้ คือการพาทีมชนะ 3 นัด เสมอ 4 นัด และแพ้แค่ 3 นัดเท่านั้น

ถึงแม้เปอร์เซ็นต์พาทีมชนะจะมีแค่ 30% แต่ 5 เหตุผลต่อไปนี้ มากพอที่จะทำให้แฟนบอลไทยควรยกย่องอิชิอิว่าสามารถพาทีมทำผลงานได้ยอดเยี่ยม และสามารถคาดหวังถึงผลงานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงต่อจากนี้ได้

 

1. ทำผลงานระดับทวีปได้ยอดเยี่ยม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าโปรแกรม 10 นัดแรกของ มาซาทาดะ อิชิอิ ในการคุมทีมชาติไทยถือว่าเจอโปรแกรมที่หนักกว่า 10 นัดแรกของเฮดโค้ชทีมช้างศึกก่อนหน้านี้หลายๆ คน เพราะมีถึง 8 นัดที่ต้องพบกับคู่แข่งที่มีอันดับบนแรงกิ้งฟีฟ่าสูงกว่าในวันก่อนแข่ง

เกมแรกที่อิชิอิคุมทีมชาติไทย คือการบุกแพ้ญี่ปุ่น 5-0 ในเกมอุ่นเครื่องเมื่อวันขึ้นปีใหม่ 2024 ที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้ว่าผลการแข่งขันจะแพ้แบบขาดลอย แต่หลายคนก็ได้เห็นการเล่นที่มีทีมเวิร์คและวินัยมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าศักยภาพของทีมจากแดนซามูไรเหนือกว่าอยู่มาก

ผลงานที่ทำให้แฟนบอลไทยประทับใจในการคุมทีมของอิชิอิ ก็คือการพาทีมผ่านรอบแบ่งกลุ่ม เอเชียน คัพ 2023 (แข่งขันในช่วงต้นปี 2024) ด้วยการไม่เสียประตูเลยในรอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ประกอบด้วยการชนะคีร์กีซสถาน 2-0, เสมอโอมาน 0-0 และเสมอซาอุดีอาระเบีย 0-0 ซึ่งการเก็บได้ถึง 5 แต้ม คือผลงานการลงเล่นรอบแรก เอเชียน คัพ ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นกับทีมชาติไทยด้วย

แม้จะต้องหยุดเส้นทางในศึกฟุตบอลชิงแชมป์ระดับทวีปเอเชียไว้แค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อพ่ายอุซเบกิสถานไปหวุดหวิด 2-1 แต่เขาก็ทำให้ทีมรักษาความหวังได้ลุ้นเข้ารอบต่อไปของศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ได้จนถึงนัดสุดท้ายของรอบที่ 2 ซึ่งน่าเสียดายที่เกมเปิดบ้านพบสิงคโปร์เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2024 ไทยชนะแค่ 3-1 ขาดไปแค่ประตูเดียวเท่านั้นก็จะผ่านเข้ารอบได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม อิชิอิสามารถพาไทยบุกไปเก็บแต้มนอกบ้านได้ในเกมยากๆ อย่างการบุกเยือนเกาหลีใต้ และเยือนจีน ซึ่งจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 ทั้ง 2 นัด

 

2. เจอคู่แข่งระดับอาเซียน ก็ไม่พลาดชัยชนะ

2 จาก 3 เกมที่ทีมชาติไทยคว้าชัยชนะได้ในยุคของอิชิอิ คือการเจอคู่แข่งในระดับอาเซียนด้วยกัน โดยสามารถเปิดบ้านชนะสิงคโปร์ 3-1 ในศึกคัดบอลโลก และล่าสุดก็บุกไปชนะเวียดนามได้ถึงถิ่น 2-1 นอกนั้นโปรแกรมอีก 8 นัด ล้วนเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีแรงกิ้งสูงกว่า และเป็นทีมระดับเอเชียทั้งนั้น

แม้ 10 นัดที่ผ่านมา จะมีเกมที่พบกับความปราชัยไป 3 นัด แต่การออกไปแพ้ทีมที่มาตรฐานสูงที่สุดของเอเชียอย่างญี่ปุ่น 5-0, แพ้ให้ทีมอย่างอุซเบกิสถาน 2-1 ในรอบน็อคเอาท์ เอเชียน คัพ และการแพ้ทีมขาประจำฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอย่างเกาหลีใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ที่ไปค้าแข้งที่ยุโรป 0-3 ไม่ใช่ผลงานที่แย่กว่ามาตรฐานแต่อย่างใด ไม่ใช่เกมที่แฟนบอลไทยต้องอายเลย

ขณะที่การผ่านเข้ารอบต่อไปของศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ไม่สำเร็จ คงจะโทษอิชิอิแบบเต็มๆ ไม่ได้ เพราะอันที่จริง ทีมชาติไทยแทบจะหมดลุ้นเข้ารอบตั้งแต่การแพ้จีนคาบ้าน 1-2 ในเกมแรกแล้วแท้ๆ แต่อิชิอิสามารถพาทีมบุกไปเก็บแต้มในเกมเยือนคู่แข่งที่แข็งแกร่งทั้ง เกาหลีใต้ และ จีน จนมีลุ้นจนถึงวันสุดท้ายได้ ซึ่งแน่นอนว่าการตกรอบคัดบอลโลกไว้แค่รอบ 2 มันคือเรื่องน่าผิดหวัง แต่เขาเกือบจะเข็นทีมเข้ารอบต่อไปได้อยู่แล้ว ถ้าหากยิงสิงคโปร์เพิ่มได้อีกสัก 1 ประตู

 

3. ผลักดันนักเตะสายเลือดใหม่ๆ

ในยุคของ มาซาทาดะ อิชิอิ เขาใช้เวลาเดินทางไปส่องฟอร์มนักเตะที่ผลงานดีในไทยลีกจนเรียกมาติดทีมหลายคน ล่าสุดก็เพิ่งให้โอกาส พาตริก กุสตาฟส์สัน กองหน้าลูกครึ่งสวีเดนวัย 23 ปี ซึ่งปัจจุบันถูก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ส่งตัวให้ นาระ คลับ สโมสรในเจลีกดิวิชั่น 3 ของญี่ปุ่นยืมใช้งาน ขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ในตำแหน่งศูนย์หน้า และประเดิมเกมเดบิวต์ด้วยผลงานสุดยอด ทำแอสซิสต์ 1 และยิงเองอีก 1 ประตู

โจนาธาร เข็มดี กองหลังลูกครึ่งไทย-เดนมาร์กวัย 22 ปี เจ้าของส่วนสูงถึง 190 เซนติเมตรจาก ราชบุรี เอฟซี ก็ประเดิมทีมชาติไทยชุดใหญ่นัดแรกด้วยการจับคู่เซนเตอร์กับ เอเลียส ดอเลาะ ได้น่าพอใจ ซึ่งเชื่อได้เลยว่าโจนาธารจะพร้อมเป็นตัวหลักในแนวรับของทัพช้างศึกไปได้อีกนานนับ 10 ปีแน่ๆ ถ้าหากรักษาสภาพร่างกายให้ยืนระยะต่อเนื่องได้ดีพอ

วีระเทพ ป้อมพันธุ์ มิดฟิลด์วัย 27 ปีจาก ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ก็กลายเป็นกองกลางตัวหลักที่ทีมขาดไม่ได้ไปแล้ว และเป็นตัวจ่ายบอลที่มีคุณภาพสูงมาก ซึ่งช่วงก่อนหน้าจะถึงปี 2024 เขาอาจจะยังไม่ใช่นักเตะที่ยึด 11 ตัวจริงได้ต่อเนื่อง แต่อิชิอิค้นพบแล้วว่าจะให้ใครคือคีย์แมนสำคัญในบทบาทห้องเครื่องของเขา

นอกจากนั้นแล้ว ในรายชื่อนักเตะทีมชาติไทยชุดล่าสุด อิชิอิยังเปิดโอกาสให้นักเตะหลายๆ คนได้มีชื่อติดทีมชาติเป็นครั้งแรกด้วย ไม่ว่าจะเป็น พาตริก กุสตาฟส์สัน, โจนาธาร เข็มดี, วิลเลียม เวเดอร์เฌอ, อนันต์ ยอดสังวาลย์ และ กรวิชญ์ ทะสา ในขณะที่ อัครพงศ์ พุ่มวิเศษ ที่เคยเรียกติดทีมมาแล้วก่อนหน้านี้ ก็ได้ลงสัมผัสเกมกับทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกเรียบร้อย

 

4. ขันเกมรับให้ดีขึ้นกว่าเดิมเห็นๆ

ภายใต้การคุมทีม 10 นัดที่ผ่านมาของอิชิอิ ทีมชาติไทยเสียประตูไปแค่ 14 ประตู โดยสามารถเก็บคลีนชีตได้ 3 นัด ถ้าหากเทียบกับ 10 นัดสุดท้ายในยุคของเฮดโค้ชคนก่อนหน้าอย่าง มาโน่ โพลกิ้ง ที่เสียไปถึง 24 ประตู และเก็บคลีนชีตแค่นัดเดียว จะเห็นว่าจำนวนประตูที่เสียลดลงไปเยอะมาก ทั้งที่คู่ต่อสู้ที่ทีมช้างศึกต้องเจอในช่วง 10 เกมที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นคู่แข่งหินๆ ทั้งนั้น

อิชิอิเข้ามาปรับวินัยการเล่นให้นักเตะไทยช่วยกันปิดพื้นที่ได้ดี และแนวรับสามารถทดแทนกันได้ตลอด ที่เห็นชัดเจนว่าเล่นเกมรับได้น่าประทับใจคือในศึก เอเชียน คัพ 2023 รอบแบ่งกลุ่มที่เก็บคลีนชีตทั้ง 3 นัด และนั่นทำให้ผลการแข่งขันในการเจอกับคู่แข่งนอกอาเซียนดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา

 

5. พาแรงกิ้งขยับขึ้นจนกลับมาเป็นที่ 1 อาเซียน

ย้อนไปในเดือนธันวาคม 2023 ซึ่งฟีฟ่าประกาศแรงกิ้งโลกครั้งสุดท้ายก่อนที่ มาซาทาดะ อิชิอิ จะได้โอกาสคุมทีมชาติไทยเป็นครั้งแรก ในตอนนั้น ทีมช้างศึกรั้งอันดับที่ 113 ของโลก และรั้งอันดับ 2 ของอาเซียนต่อจากเวียดนาม ซึ่งอันดับโลกเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว อยู่ที่อันดับ 94 เหนือกว่าไทยอยู่ถึง 19 อันดับ

แต่อิชิอิสามารถพาทีมชาติไทยค่อยๆ เก็บผลการแข่งขันที่ดี จนอันดับขยับขึ้นสู่อันดับ 100 ได้เมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการติด 100 อันดับแรกของแรงกิ้งฟีฟ่าเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี

แม้อันดับโลกจะหล่นลงมา 1 อันดับเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ทีมไม่มีโปรแกรมแข่งขัน แต่จากการคิดคำนวณอย่างไม่เป็นทางการหลังจากทุกทีมลงเตะเกมสุดท้ายของช่วงเบรกทีมชาติเดือนกันยายนไปแล้ว คาดว่าทีมชาติไทยจะรั้งอันดับที่ 99 ของโลกในเดือนนี้อย่างแน่นอน

ซึ่งถ้าหากทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของ มาซาทาดะ อิชิอิ ยังรักษามาตรฐานไม่ให้ตก และเก็บผลการแข่งขันที่ดีได้เรื่อยๆ น่าจะช่วยให้แรงกิ้งฟีฟ่าอยู่ในระดับ 18 อันดับแรกของเอเชียได้แน่ และจะเพิ่มโอกาสการลุ้นเข้ารอบลึกๆ ของศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกครั้งต่อไปได้