2006 : ฤดูกาลสุดท้ายที่ "จักรพรรดิอาเดรียโน" เฉิดฉายในยุโรป

Maruak Tanniyom

May 17, 2024 · 2 min read

2006 : ฤดูกาลสุดท้ายที่
ฟุตบอล | May 17, 2024

เขาคือกองหน้าที่สมบูรณ์แบบ ด้วยลูกยิงอันทรงพลัง มีความเร็ว รูปร่างดี อีกทั้งยังมีลีลาการเล่นตื่นตาตามสไตล์แข้งแซมบ้า จนถูกขนามนานว่า “จักรพรรดิ”

อย่างไรก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้กลับหายวับไปกับตาตอนเขาอายุ 24 ปี ที่น่าจะเป็นช่วงพีคสำหรับตำแหน่งกองหน้าด้วยซ้ำ เพราะอะไร?

สำหรับ อาเดรียโน เขาเป็นผู้เล่นที่เกิดมาเป็นดาวยิงอย่างแท้จริง หลังสร้างผลงานในสีเสื้อของฟลาเมงโก ตั้งแต่อายุเพียง 18 ปี ด้วยการยิงไป 11 ประตูจาก 40 นัดในทุกรายการ

ผลงานดังกล่าวทำให้เขากลายเป็นแข้งเนื้อหอม และถูก อินเตอร์ มิลาน กระชากตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัวสูงถึง 13 ล้านยูโร ในปี 2001

และ อาเดรียโน เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยม หลังยิงฟรีคิกด้วยความเร็วระดับ 168 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ผ่านมือ อิเคร คาซิยาส หนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลกในขณะนั้นเข้าไป ในเกมกระชับมิตรกับ เรอัล มาดริด ก่อนเปิดฤดูกาล และถูกนำไปเปรียบเปรยกับ โรนัลโด ดาวยิงรุ่นพี่ของอินเตอร์

“ผมบอกกับตัวเองว่า ‘นี่คือโรนัลโด คนต่อไป’” ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ แข้งชาวอาร์เจนตินา ของอินเตอร์ กล่าวกับนักข่าว

แต่ตอนนั้นเขายังไม่พร้อมสำหรับ อินเตอร์ จึงถูกส่งตัวไปบ่มเพาะฝีเท้ากับ ฟิออเรนตินา ก่อนที่ผลงาน 6 ประตูจาก 15 นัด จะทำให้ ปาร์มา มาขอซื้อไปแบบสัญญาร่วม แลกกับการขาย ฟาบิโอ คันนาวาโร

และที่นี่ ก็เป็นเวทีที่ทำให้ อาเดรียโน เฉิดฉายอย่างเต็มตัว เขากลายเป็นกองหน้าที่อันตรายของลีกอิตาลี ด้วยการยิงไปถึง 15 ประตูจาก 28 นัดในฤดูกาล 2002-2003 และยิง 8 ประตูจาก 9 นัดในซีซั่นต่อมา จนทำให้อินเตอร์ ดึงตัวกลับมาด้วยค่าตัว 23.4 ล้านยูโร ในเดือนมกราคม 2004

“ผมดีใจที่ได้กลับบ้าน ผมมั่นใจว่าการได้เล่นกับอินเตอร์ จะทำให้ผมเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม” อาเดรียโน กล่าวในวันคืนถิ่น จูเซปเป เมอัซซา

อาเดรียโน ทำได้อย่างที่ว่าไว้ เมื่อยิงไปถึง 9 ประตูจาก 16 นัดในสีเสื้ออินเตอร์ รวมไปถึงลูกโหม่งอันแข็งแกร่งในเกมกับ เอ็มโปลี ที่เขาฉลองด้วยการถอดเสื้อแล้วเบ่งกล้าม จนเป็นที่มาของฉายา “จักรพรรดิแห่งอินเตอร์”

“ในตอนที่เขาพีค เขาอยู่ในระดับเดียวกับ โรนัลโด ในฐานะผู้เล่นที่หยุดได้ยากที่สุด” เอมิลสัน คริบารี อดีตกองหลังเอ็มโปลี กล่าวกับ ESPN เมื่อปี 2022

“ผมเองที่เป็นคนประกบตัวเขาในเกมวันนั้น เขายิงประตูใส่เรา วันนั้นผมได้เห็นพลังและศักยภาพของเขา”

หลังจากนั้น อาเดรียโน ก็เดินหน้าทะลวงตาข่ายอย่างต่อเนื่อง เขายิงไปถึง 28 ประตูจาก 42 นัดในฤดูกาล 2004-2005 พร้อมช่วยให้อินเตอร์คว้าแชมป์ โคปา อิตาเลีย โทรฟีแรกบนผืนแผ่นดินอิตาลีของเขา และถูกยอมรับในฐานะกองหน้าที่อันตรายที่สุดในยุโรป

ฤดูกาล 2005-2006 เป็นปีที่เขาระเบิดพลังอย่างเต็มตัว แม้จำนวนประตูจะลดลง แต่ อาเดรียโน ก็เล่นด้วยความมั่นใจ เขาประเดิมด้วยการยิง 5 ประตูพาทีมชาติบราซิล คว้าแชมป์คอนเฟดเดอเรชั่นคัพ

ก่อนที่ในอิตาลี เขาจะยิงอีก 19 ประตูจาก 47 นัดในทุกรายการ ช่วยให้อินเตอร์ จบอันดับ 3 แต่ก็สามารถคว้าแชมป์เซเรียอา หลัง ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน ถูกลงโทษจากคดีล็อคผลบอล

“เขาสามารถยิงได้ทุกมุม ไม่มีใครหยุดเขาได้ ไม่มีใครแย่งบอลเขาได้ เขาคือสัตว์ป่าอย่างแท้จริง” ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่เคยร่วมงานกับ อาเดรียโน ที่ อินเตอร์ กล่าวกับ Sport Bible เมื่อปี 2020

อย่างไรก็ดี นั่นก็เป็นเหมือนความรุ่งเรืองครั้งท้ายๆ ในชีวิตของ อาเดรียโน เมื่อหลังจากศึกฟุตบอลโลก 2006 ฟอร์มของแข้งชาวบราซิล ก็ตกลงอย่างฮวบฮาบ เขาเริ่มยิงประตูได้น้อยลง สวนทางกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น แถมยังมีเรื่องอื้อฉาวจากการเสพยาเสพติด

“ผมนอนไม่หลับ และเมาในการฝึกซ้อมทุกวัน” อาเดรียโนกล่าวในภายหลัง

แม้จะถูกส่งตัวไปบำบัดที่บราซิล พร้อมให้ทีมที่นั่นยืมตัวไปใช้งาน แต่เขายังก่อปัญหาไม่หวาดไม่ไหว ก่อนที่สุดท้าย อินเตอร์ จะตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเขา

หลังจากนั้น ชื่อของ อาเดรียโน ก็มาพร้อมกับความวุ่นวาย ในสนามเขายิงประตูได้มากก็จริง แต่นอกสนามเขาคือระเบิดเวลา ด้วยวีรกรรมต่างๆนานา ทั้งขาดซ้อม เพราะท่องราตรีหนัก, เกี่ยวพันกับผู้ค้ายาเสพติด ไปจนถึงหายไปจากทีมในวันที่มีแข่งแบบไม่บอกไม่กล่าว

อันที่จริง อาเดรียโน ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการฟุตบอลอีกพักใหญ่ และได้ย้ายกลับมาเล่นในยุโรปกับ โรมา รวมถึงได้เล่นในลีกสหรัฐอเมริกากับ ไมอามี ยูไนเต็ด แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

คำถามคืออะไรที่เปลี่ยนให้เขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้น เขาหลงแสงสี หรือขาดวินัยอย่างนั้นหรือ อาจจะถูก แต่มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง

จุดเริ่มต้นอาจจะต้องย้อนกลับไปในปี 2004 หลัง อาเดรียโน พาทีมชาติบราซิล คว้าแชมป์ โคปา อเมริกา ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการยิงไปถึง 7 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์

“ผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกตอนนี้ได้เลย นี่คือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม” อาเดรียโน กล่าวหลังเกมนัดชิงชนะเลิศทั้งน้ำตา

“แชมป์นี้เป็นของพ่อผม เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดชีวิต ไม่มีเขา ผมคงไม่มีอะไรเลย”

แต่แชมป์ที่ อาเดรียโน ตั้งใจจะมอบให้พ่อ ก็แทบไม่มีค่า เมื่อในวันที่ 3 สิงหาคม 2004 เขาได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากบราซิล ว่าพ่อที่เขารักได้จากโลกนี้ไปแล้วจากอาการหัวใจวาย ด้วยวัยเพียง 44 ปี

มันเหมือนโลกหยุดหมุน เขาได้สูญเสียแหล่งซัพพอร์ททางจิตใจ ชายผู้เลี้ยงดูเขาด้วยความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ช่วยให้เขาเติบโตขึ้น และทำตามความฝันได้สำเร็จ

“ตอนที่เขารับโทรศัพท์บอกเรื่องพ่อเสียชีวิต เราอยู่ในห้องนั้นกัน” ซาเน็ตติย้อนความหลังกับ Tuttomercatoweb

“เขาวางโทรศัพท์อย่างแรง และกรีดร้องในระดับที่ไม่สามารถจินตนาการได้ มันยังทำให้ผมสั่นจนถึงวันนี้ หลังจากโทรศัพท์สายนั้น ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกเลย”

นั่นทำให้แม้ว่า อาเดรียโน จะพยายามประคับประคองจิตใจ เพื่อทำผลงานให้ดีในสนาม ก่อนจะระเบิดฟอร์มได้ในฤดูกาล 2005-2006 แต่นั่นก็คือการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของเขา

“ความรักที่มีต่อฟุตบอลของผมไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย ผมข้ามมหาสมุทรมาอยู่อิตาลี ต้องห่างจากครอบครัว แต่ผมก็รับมือมันไม่ได้” อาเดรียโนกล่าวกับ Player’s Tribune

“ผมหดหู่มาก ผมจึงเริ่มดื่มมากขึ้น ผมไม่อยากไปซ้อมเลย ผมไม่อยากทำอะไรที่ อินเตอร์ เลย ผมอยากกลับบ้าน”

สุดท้ายก็อย่างที่โลกได้เห็น อาเดรียโน แปรสภาพจากกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก มาเป็นผู้เล่นน้ำหนักเกิน ที่เต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว จนกระทั่งวันสุดท้ายที่แขวนสตั๊ดในปี 2016

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็สมควรได้รับการจดจำในฐานะกองหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยผลงานในสีเสื้อของ อินเตอร์ และทีมชาติบราซิล แม้ว่าน่าเสียดายที่โลกได้เห็นความยอดเยี่ยมของ อาเดรียโน น้อยเกินไปก็ตาม