พักมากกว่าได้เปรียบ : เผยสถิติแชมป์ 6 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ล่าสุด คือทีมที่เตะรอบรองก่อน

Pipat Sathirawut

July 14, 2024 · 1 min read

พักมากกว่าได้เปรียบ : เผยสถิติแชมป์ 6 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ล่าสุด คือทีมที่เตะรอบรองก่อน
ฟุตบอล | July 14, 2024

ทีมชาติสเปนมีโอกาสเป็นผู้ชนะในเกมนัดชิงชนะเลิศยูโร 2024 คืนวันอาทิตย์นี้มากกว่าคู่ชิงอย่างอังกฤษ เพราะนอกจากจะผลงานดีกว่าชัดเจนตลอดทัวร์นาเมนต์แล้ว สถิติยังบอกว่าทีมที่เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกหรือยูโรในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา หรือทัวร์นาเมนต์ใหญ่ 6 รายการหลังสุด ล้วนเป็นทีมที่ลงเตะรอบรองชนะเลิศก่อน ทำให้ได้เปรียบเรื่องมีเวลาเตรียมทีมก่อนนัดชิงมากกว่าอีกฝ่าย 1 วัน

สเปนลงเตะเกมล่าสุดคือการแซงชนะฝรั่งเศส 2-1 ในรอบรองชนะเลิศเมื่อคืนวันอังคารที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือว่ามีเวลาพักถึง 4 วันเต็มๆ (10-13 กรกฎาคม) ก่อนลงเตะนัดชิงชนะเลิศคืนวันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม ส่วนอังกฤษมีเวลาพักแค่ 3 วันเท่านั้น หลังจากแซงชนะเนเธอร์แลนด์ 2-1 เมื่อคืนวันพุธที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ซึ่งหากไปไล่ย้อนดูสถิติแชมป์ฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ 6 รายการหลังสุด หรือตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา จะพบว่าทีมที่ได้ชูโทรฟี่ล้วนเป็นทีมที่ลงเตะรอบรองชนะเลิศก่อนทั้งนั้น

ศึกยูโร 2012 ที่โปแลนด์กับยูเครนเป็นเจ้าภาพร่วม สเปนสามารถป้องกันแชมป์ในช่วงยุครุ่งเรืองเอาไว้ได้ต่อเนื่อง หลังจากคว้าแชมป์ทั้งยูโร 2008 และฟุตบอลโลก 2010 มาครองได้ก่อนแล้ว โดยในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาดวลจุดโทษชนะโปรตุเกสหลังเสมอกัน 0-0 ตลอด 120 นาทีในเกมที่เมืองโดเน็ตส์ค ประเทศยูเครน วันที่ 27 มิถุนายน ส่วนคู่ชิงอย่างอิตาลีเอาชนะเยอรมนี 2-1 ในรอบตัดเชือกที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ในวันที่ 28 มิถุนายน ซึ่งนอกจากสเปนจะได้เปรียบจากการได้พักก่อนนัดชิงมากกว่า 1 วันแล้ว พวกเขายังไม่ต้องเหนื่อยเดินทางย้ายประเทศด้วย และสุดท้ายทีมกระทิงดุก็ถล่มอิตาลีไปแบบขาดลอย 4-0 ในนัดชิง

ศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล แชมป์โลกตกเป็นของเยอรมนี ที่ฉายราศีแชมป์ตั้งแต่รอบรองชนะเลิศที่ถล่มเจ้าภาพยับเยิน 7-1 ในวันที่ 8 กรกฎาคม โดยคู่ชิงอย่างอาร์เจนตินาลงเตะรอบรองทีหลัง และต้องลุ้นเหนื่อยจนถึงช่วงดวลจุดโทษกว่าจะเอาชนะเนเธอร์แลนด์ได้ หลังเสมอกัน 0-0 ตลอด 120 นาทีในวันที่ 9 กรกฎาคม ก่อนที่ทีมอินทรีเหล็กจะมีชัยในนัดชิงซึ่งแข่งกันคืนวันที่ 13 กรกฎาคม ด้วยประตูโทนในช่วงต่อเวลาพิเศษของ มาริโอ เกิทเซ่

ศึกยูโร 2016 ฝรั่งเศสคือเจ้าภาพ และน่าจะได้เปรียบจากการเล่นในบ้านตัวเอง แถมฟอร์มก็ดีกว่า แต่แชมป์ตกเป็นของโปรตุเกสที่เฉือนชนะ 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษจากประตูชัยของตัวสำรองอย่างเอแดร์ ซึ่งทีมฝอยทองได้เปรียบตรงที่พวกเขาได้พักหลังจบเกมรอบรองชนะเลิศมากกว่าเจ้าภาพ 1 วัน โดยโปรตุเกสลงเตะรอบตัดเชือกชนะเวลส์ 2-0 ในวันที่ 6 กรกฎาคม ส่วนฝรั่งเศสชนะเยอรมนี 2-0 ในวันที่ 7 กรกฎาคม

ศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ฝรั่งเศสก็ลงเตะรอบรองชนะเลิศก่อนโครเอเชีย โดยทีมตราไก่ชนะเบลเยียม 1-0 ในเกมรอบตัดเชือกวันที่ 10 กรกฎาคม ส่วนโครเอเชียต่อเวลาชนะอังกฤษ 2-1 หลังเสมอกัน 1-1 ในเวลาปกติคืนวันที่ 11 กรกฎาคม ซึ่งสุดท้ายฝรั่งเศสก็คว้าแชมป์โลกไปครองด้วยการถล่มทีมตาหมากรุกไปแบบขาดลอย 4-2 โดยตั้งแต่รอบน็อคเอาท์เป็นต้นมา ฝรั่งเศสปิดจ๊อบภายใน 90 นาทีทุกนัด ผิดกับโครเอเชียที่ต้องยื้อจนถึงช่วงต่อเวลาตลอด ทำให้สภาพร่างกายนักเตะกรอบกว่าทัพ เลส์ เบลอส์ มากทีเดียว

ศึกยูโร 2020 ที่แข่งกันเมื่อ 3 ปีก่อน โดยตั้งแต่รอบรองชนะเลิศเป็นต้นไป แข่งที่เวมบลีย์ทั้งหมด ซึ่งอังกฤษดูเหมือนจะได้เปรียบในการเล่นที่สนามตัวเอง แต่อิตาลีได้เปรียบเรื่องการมีเวลาเตรียมทีมก่อนนัดชิงมากกว่า เมื่อดวลจุดโทษเอาชนะสเปนในเกมรอบรองในคืนวันที่ 6 กรกฎาคม 2021 ส่วนอังกฤษที่แข่งช้ากว่า 1 วันต้องออกแรงเหนื่อยกว่าจะชนะเดนมาร์กได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลา หลังเสมอกัน 1-1 ใน 90 นาที แล้วสุดท้ายทีมอัซซูรี่ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ก็ชนะอังกฤษได้จริงๆ ในช่วงดวลจุดโทษ หลังเสมอกันตลอด 120 นาที 1-1

ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ อาร์เจนตินาลงเตะรอบรองชนะเลิศก่อน โดยสามารถถล่มโครเอเชียไปแบบสบายๆ 3-0 ในวันที่ 13 ธันวาคม ก่อนที่ฝรั่งเศสจะชนะโมร็อกโก 2-0 ในอีก 1 วันถัดมา ซึ่งสุดท้ายทีมฟ้าขาวก็คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 มาครองได้ หลังจากเสมอ 2-2 ใน 90 นาที ก่อนที่จะยิงเพิ่มฝ่ายละ 1 ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ แล้วจบลงด้วยอาร์เจนตินาชนะในช่วงดวลจุดโทษ

สำหรับครั้งสุดท้ายที่แชมป์ทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ตกเป็นของทีมที่ลงเตะรอบรองชนะเลิศทีหลัง คือฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ เช่นเดียวกับศึกยูโรครั้งสุดท้ายที่แชมป์ตกเป็นของทีมที่ลงเตะรอบตัดเชือกช้ากว่าก็คือยูโร 2008 ที่ออสเตรียกับสวิตเซอร์แลนด์เป็นเจ้าภาพร่วมกัน โดยแชมป์ทั้ง 2 ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวคือทีมชาติสเปน