ไก่ลุ้นล้างอาถรรพ์? เผยสถิติน้าแอนจ์คุมทีมไหน ปีที่ 2 ต้องมีแชมป์

Pipat Sathirawut

August 19, 2024 · 2 min read

ไก่ลุ้นล้างอาถรรพ์? เผยสถิติน้าแอนจ์คุมทีมไหน ปีที่ 2 ต้องมีแชมป์
Football | August 19, 2024

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ จะประเดิมเกมแรกของฤดูกาล 2024-25 ด้วยการบุกเยือนน้องใหม่อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ในเกมพรีเมียร์ลีกคืนวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม ซึ่งในซีซั่นใหม่นี้ จะถือเป็นฤดูกาลที่ 2 ที่ทีมไก่เดือยทองอยู่ภายใต้การคุมทีมโดยกุนซือชาวออสเตรเลียอย่าง แอนจ์ พอสเตโคกลู ที่พาทีมจบอันดับ 5 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยพลาดโควตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบหวุดหวิด เพราะมีแต้มน้อยกว่าทีมอันดับ 4 อย่าง แอสตัน วิลล่า แค่ 2 แต้มเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลใหม่นี้ “น้าแอนจ์” หวังว่าจะเริ่มพา สเปอร์ส ได้ลุ้นความสำเร็จติดมือกับเขาบ้าง หลังจากสโมสรไม่มีแชมป์ติดมือมานานถึง 16 ปี นับตั้งแต่คว้าแชมป์รายการสุดท้ายคือถ้วย คาร์ลิ่ง คัพ ที่เอาชนะเชลซีในช่วงต่อเวลาพิเศษของนัดชิงชนะเลิศไป 2-1 เมื่อปี 2008

 

เผยสถิติน้าแอนจ์ คุมทีมไหนปีที่ 2 ต้องมีแชมป์

แอนจ์ พอสเตโคกลู ที่จะอายุครบ 59 ปีในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ มีประสบการณ์คุมทีมมาอย่างโชกโชน เขาเคยคุมสโมสรในลีกออสเตรเลียมาถึง 4 ทีม และเคยทำงานในลีกกรีซ, ญี่ปุ่น และสกอตแลนด์ รวมถึงเคยคุมทีมชาติออสเตรเลียมาแล้ว ก่อนจะย้ายจาก กลาสโกว์ เซลติก มารับตำแหน่งเฮดโค้ชของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ของปี 2023

สถิติที่น่าสนใจก่อนหน้านี้ของพอสเตโคกลู ก็คือทีมไหนก็ตามที่จ้างเขาทำหน้าที่เป็นเฮดโค้ชไม่ต่ำกว่า 2 ปี มักจะมีโทรฟี่ติดมือเสมอเมื่อเข้าสู่ปีที่ 2

เขาเริ่มต้นคุม เซาธ์ เมลเบิร์น เป็นสโมสรแรกเมื่อปี 1996 แล้วก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกออสเตรเลียได้ในปี 1998

จากนั้นในปี 2000 เขาไปรับตำแหน่งกุนซือทีมชาติออสเตรเลียชุดเยาวชน โดยได้คุมทีมชุดอายุไม่เกิน 17 ปี และชุดอายุไม่เกิน 20 ปี แล้วก็พาทีมจิงโจ้ชุดยู-17 คว้าแชมป์ทวีปโอเชียเนียได้ในอีก 1 ปีถัดมา แถมคว้าแชมป์ถึง 3 สมัยซ้อนในปี 2001, 2003 และ 2005 ส่วนแชมป์ของทีมชุดยู-20 ก็ได้มา 3 ครั้งซ้อนเช่นกันในปี 2001, 2002 และ 2005

ช่วงเวลาที่พอสเตโคกลูไปคุมพานาไชกี สโมสรในลีกรองของประเทศกรีซ และคุม วิทเทิลซี ซีบร้าส์ สโมสรลีกรองของออสเตรเลีย เขาทำงานกับแต่ละทีมได้ไม่ครบ 1 ปี จึงไม่มีโอกาสคว้าโทรฟี่ร่วมกับ 2 ทีมดังกล่าว

จนกระทั่งในเดือนตุลาคมปี 2009 เขาไปรับตำแหน่งเฮดโค้ชของ บริสเบน รอร์ ซึ่งเป็นสโมสรระดับ เอ ลีก เขาก็ช่วยพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในประวัติศาสตร์ได้ในฤดูกาล 2010-11 ซึ่งเป็นซีซั่นที่ 2 อีกเช่นกัน

การไปคุม เมลเบิร์น วิคตอรี่ ระหว่างเดือนเมษายน 2012 จนถึงเดือนตุลาคม 2013 ที่ไม่มีแชมป์รายการใดติดมือ ถือว่า “น้าแอนจ์” ทำงานไม่ครบ 2 ปีเต็ม แต่ช่วงที่ไปรับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติออสเตรเลียระหว่างเดือนตุลาคม 2013 จนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายน 2017 เขาช่วยให้พลพรรค “ซ็อคเก้อร์รูส์” คว้าแชมป์ เอเชียน คัพ หนแรกในประวัติศาสตร์ได้ในเดือนมกราคมปี 2015 แถมได้มีโอกาสคุมออสเตรเลียสู้ศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 2014 และพาทีมจิงโจ้ผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 อีกต่างหาก แต่เขาลาออกก่อนที่จะมีโอกาสคุมทีมสู้ศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่รัสเซียอย่างน่าเสียดาย

จากนั้นในปี 2018 เขาโยกไปคุมสโมสรใน เจ ลีก อย่าง โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส โดยได้ร่วมงานกับ ธีราทร บุญมาทัน แบ็กซ้ายตัวเก่งของทีมชาติไทย และในปีที่ 2 ที่พอสเตโคกลูทำงานที่ญี่ปุ่น เขาก็คว้าแชมป์ เจ ลีก มาครองได้ด้วย

 

ในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 แอนจ์ พอสเตโคกลู ได้โอกาสไปคุมทีมในยุโรปเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อรับตำแหน่งกุนซือของ กลาสโกว์ เซลติก ซึ่งการไปทำงานที่สกอตแลนด์ “น้าแอนจ์” สามารถพาทีมม้าลายเขียวขาวกวาดครบทุกแชมป์ในประเทศ โดยซิวแชมป์ สกอตติช พรีเมียร์ชิพ และ สกอตติช ลีก คัพ ได้ 2 สมัยซ้อนในฤดูกาล 2021-22 และ 2022-23 ซึ่งผลงานที่น่าประทับใจ และมีแนวทางการเล่นที่เน้นเกมบุกชัดเจนนี้เอง ที่ทำให้เขาถูกทาบทามมาคุม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 2023 เป็นต้นมา

 

ยันชัด เป้าหมายซีซั่นใหม่ หวังพาไก่มีถ้วยติดมือ

ผลงานของ แอนจ์ พอสเตโคกลู กับการคุม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในฤดูกาลแรก ถือว่าเขาสร้างความประทับใจให้แฟนบอลทีมไก่เดือยทอง ด้วยการนำสไตล์ฟุตบอลที่เน้นเกมรุกบุกแหลก ดูสนุกขึ้นกว่าสมัยที่ โชเซ่ มูรินโญ่ และ อันโตนิโอ คอนเต้ เป็นกุนซือเข้ามา แม้จะพาทีมตกรอบฟุตบอลถ้วยอย่างรวดเร็วทั้งในศึก คาราบาว คัพ ที่ตกรอบ 2 และ เอฟเอ คัพ ที่ตกรอบ 4 ก็ตาม

แต่ก่อนที่เขาจะคุม สเปอร์ส ลงประเดิมเกมแรกของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ เจ้าตัวไปให้สัมภาษณ์กับ สกาย สปอร์ตส์ โดยยืนยันเป้าหมายชัดเจนว่า ในซีซั่นนี้ เขาต้องช่วยให้ทีมไก่เดือยทองยกระดับขึ้นจากเดิมให้ได้ และชี้ว่ามาตรฐานของเขาในการคุมทุกทีมที่ผ่านมา จะต้องประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างในฤดูกาลที่ 2 เสมอ

พอสเตโคกลูเผยว่า เขาไม่ใช่โค้ชไร้ประสบการณ์สำหรับลีกสูงสุดอังกฤษอีกต่อไปแล้ว ในฤดูกาลนี้จะมีกุนซือหน้าใหม่ไฟแรงโผล่ขึ้นมาเป็นที่น่าจับตามองแทน ทำให้ในฤดูกาล 2024-25 นี้ สื่อคงไม่ขยันเขียนประวัติเส้นทางกุนซือของเขายืดยาวเหมือนกับปีก่อน ที่เขาเป็นของใหม่สำหรับพรีเมียร์ลีก

“ผมเดาว่าผมไม่ใช่ของใหม่แกะกล่องอีกแล้วนะ เพราะมีผู้จัดการทีมหน้าใหม่แล้ว ผู้คนสามารถไปค้นพบพวกเขา และเรื่องราวในวัยเด็กของพวกเขา แล้วไม่ต้องมาพูดเรื่องเกี่ยวกับผมอีกแล้ว”

“ปกติแล้ว ในฤดูกาลที่ 2 ของผม ผมจะคว้าแชมป์ได้ นั่นคือความคิดทั้งหมด”

“ปีแรกมันคือเรื่องของการวางหลักการและสร้างรากฐาน ผมหวังว่าในปีที่ 2 มันจะเป็นการเดินหน้าไปคว้าแชมป์ได้นะ”

“แน่นอนว่าการพูดมันง่ายกว่าทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพรีเมียร์ลีก และรายการที่พวกเราลงแข่ง (เอฟเอ คัพ, คาราบาว คัพ และ ยูโรปา ลีก)”

“ผมมองแบบนั้นมาตลอด ว่าในปีที่ 2 คุณควรอยู่ในตำแหน่งที่คุณสามารถผลักดันต่อไปได้ ขึ้นอยู่กับว่าปีแรกมันผ่านไปอย่างไร”

“ปีที่แล้ว เรามีช่วงเวลาที่ดีมากๆ บางช่วง ซึ่งแน่นอนว่าเรามีบางช่วงที่ยากลำบาก ผมคิดว่าเราได้เรียนรู้จากช่วงที่ยากลำบากเยอะมาก เหมือนกับที่เราได้เรียนรู้จากช่วงดีๆ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันหมายถึงการที่เราอยู่ในจุดที่ดี ซึ่งพวกเราคือทีมที่เตรียมพร้อมได้ดีกว่าที่เราทำเมื่อปีที่แล้วแน่นอน”

 

โปรแกรมช่วงเริ่มแรก ไม่หนักเกินไป

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คือทีมเดียวในกลุ่ม บิ๊ก ซิกซ์ ที่โปรแกรมในพรีเมียร์ลีก 3 นัดแรกของฤดูกาลนี้ ยังไม่ต้องเจอกับสโมสรที่ได้ไปเล่นรายการของยูฟ่าเลยสักทีม

พวกเขาจะเริ่มต้นนัดแรกด้วยการบุกเยือนน้องใหม่อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ จากนั้นในเกมที่ 2 ก็จะได้เปิดบ้านพบกับเอฟเวอร์ตัน ซึ่งจบอันดับ 15 ฤดูกาลที่แล้ว และตอนนี้ก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากทั้งในและนอกสนาม ขณะที่เกมนัดที่ 3 พวกเขาจะได้บุกไปเยือน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ซึ่งจบอันดับ 7 ในลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่พลาดโควตา ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ไป เนื่องจากทีมอันดับ 8 อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดันคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ

ถือว่าโปรแกรมของ สเปอร์ส ในเดือนสิงหาคมยังไม่หนักมากนัก แต่บททดสอบที่สำคัญจริงๆ จะมาในเดือนกันยายน ที่ต้องเปิดบ้านพบคู่ปรับตลอดกาลที่ยกระดับมาเป็นทีมลุ้นแชมป์เต็มตัวแล้วอย่างอาร์เซน่อล ในเกมที่ 4 ขณะที่เกมที่ 6 ของซีซั่น พวกเขาต้องบุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในช่วงซัมเมอร์ เพื่อหวังยกระดับกลับสู่ความยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตให้ได้โดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทีมไก่เดือยทองจะคาดหวังเป้าหมายระยะยาว เบื้องต้นพวกเขาต้องพยายามคว้า 3 คะแนนเต็ม และทำผลงานในเกมนัดเปิดหัวที่จะต้องบุกเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ ให้ดีที่สุดเสียก่อน