Football

ใหญ่กว่าผู้จัดการทีม! ไขข้อข้องใจบทบาท ผอ.กีฬา ต่างยังไงกับ ผอ.เทคนิค?

การบริหารสโมสรฟุตบอล ณ ปัจจุบัน ถือว่าแตกต่างจากสมัยก่อนที่อำนาจการตัดสินใจเบ็ดเสร็จเป็นของผู้จัดการทีม โดยในอดีต เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อาจจะมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ อาร์แซน เวนเกอร์ ก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาร์เซน่อล แต่สำหรับยุคปัจจุบันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว จากการที่สโมสรในพรีเมียร์ลีกมีกลุ่มทุนจากต่างชาติหลายคนเข้ามาเป็นเจ้าของ จึงนำเอาวัฒนธรรมการบริหารแบบยุโรปเข้ามาใช้ และมีการกระจายหน้าที่ให้ผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่แบบเฉพาะด้านมากขึ้น

เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษเจ้าของกลุ่ม INEOS ที่เข้ามาถือหุ้น แมนฯ ยูไนเต็ด จำนวน 27.7% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และได้สิทธิ์กุมอำนาจบริหารด้านฟุตบอลให้สโมสร ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบอร์ดบริหารครั้งใหญ่ของทีมปีศาจแดงในปี 2024 นี้ โดยแต่งตั้ง เจสัน วิลค็อกซ์ เข้ามาเป็นผู้อำนวยการเทคนิคคนใหม่ และได้ตัว แดน แอชเวิร์ธ จาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ให้เข้ามานั่งตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬา

 

แดน แอชเวิร์ธ ถูกดึงตัวจากนิวคาสเซิ่ล ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด

 

ณ ตอนนี้ สโมสรระดับท็อปแทบทุกทีมต่างมีคนที่รับตำแหน่ง “ผู้อำนวยการกีฬา” (Sporting Director) หรือบางสโมสรก็ใช้ชื่อตำแหน่งว่า “ผู้อำนวยการฟุตบอล” (Director of Football) แถมหลายๆ สโมสรก็มีคนที่ทำหน้าที่ “ผู้อำนวยการเทคนิค” (Technical Director) อีกต่างหาก ซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด คือตัวอย่างนั้นที่ชัดเจนในตอนนี้

แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่าหน้าที่ของแต่ละตำแหน่งนั้นแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ซึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีกได้ลงบทสัมภาษณ์ของ ทอร์-คริสเตียน คาร์ลเซ่น อดีตผู้อำนวยการกีฬาของโมนาโก ทีมใน ลีก เอิง และ มัคคาบี้ ไฮฟา สโมสรในอิสราเอล ที่มาอธิบายไขความกระจ่างอย่างชัดเจน

“ตำแหน่งผู้อำนวยการฟุตบอลดูจะผิดแปลกไปจากสมัยก่อนที่ผู้จัดการทีมมักจะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แบบครอบคลุม ลองนึกภาพ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน เวนเกอร์ ดูสิ ซึ่งมีอำนาจทุกด้านในสโมสรฟุตบอลดูสิ ทั้งในด้านการเงินและการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ เรียกได้ว่าแทบจะครบถ้วนเลย”

“ตำนานผู้จัดการทีม 2 คนนั้นไม่เคยทำงานภายใต้ ผอ.ฟุตบอล หรือร่วมกับ ผอ.ฟุตบอล แต่กับสโมสรอื่นอย่างเช่น เดวิด พลีท ที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์  งานในด้านซื้อขาย (เช่นงานสเก๊าท์นักเตะหรือเจรจา) ถูกตัดออกจากภาระของผู้จัดการทีมและมอบหมายให้ ผอ.ฟุตบอล ทำแทน”

“จากนั้นในตอนนี้ ผอ.ฟุตบอลมักจะต้องรายงานตรงต่อเจ้าของสโมสร หรือบอร์ดบริหาร แต่ย้อนไปสมัยก่อน สายงานด้านการบังคับบัญชาในตอนนั้นมักจะคลุมเครือ และเข้าใจยาก”

“ผู้จัดการทีมบางคนต้องรายงานตรงต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงกว่า ขณะที่บางคนไม่ต้องทำ ซึ่งในทำนองเดียวกันนั้น กุนซือบางคนมีความสุขที่ได้ทำงานภายใต้โครงสร้าง ขณะที่บางคนก็อาจจะมีความกระตือรือร้นน้อยกว่า”

“ในขณะที่พื้นที่ความรับผิดชอบยังคงแตกต่างกันในแต่ละสโมสรโดยไม่ได้มีโครงสร้างที่เหมือนกัน แต่หลักการทั่วไปก็คือผู้อำนวยการกีฬาจะต้องได้รับมอบอำนาจที่แข็งแกร่งกว่า โดยรายงานตรงต่อกลุ่มคนบนสุด (เจ้าของทีม, ประธานสโมสร หรือซีอีโอ) ขณะที่ผู้จัดการทีม ซึ่งตอนนี้โดยทั่วไปจะเรียกกันว่าเฮดโค้ช โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ต่ำกว่าผู้อำนวยการกีฬาในแผนผังองค์กร

ทอร์ คริสเตียน-คาร์ลเซ่น อดีตผู้อำนวยการกีฬาของโมนาโก และ มัคคาบี้ ไฮฟา

ทอร์-คริสเตียน คาร์ลเซ่น เผยว่า แนวคิดที่สำคัญของการมีผู้อำนวยการกีฬาที่มีตำแหน่งสูงกว่าผู้จัดการทีม ก็คือการให้คนคนหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบภาพรวมด้านฟุตบอลของสโมสรเพื่อรักษาความต่อเนื่อง ซึ่งจะดีกว่าที่คนรับหน้าที่นี้ไม่ใช่เฮดโค้ช ที่มักจะมีการเปลี่ยนคนไปๆ มาๆ อยู่ตลอด

ในโลกอุดมคติ ผู้อำนวยการกีฬาจะวางกลยุทธ์แบบครอบคลุมครบวงจรให้สโมสร เพื่อให้แน่ใจว่าตั้งแต่ระดับอะคาเดมี่ไปจนถึงทีมชุดใหญ่มีความสอดคล้องกัน โดยนำหลักการพัฒนาและวิธีการทำงานแบบเดียวกันมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้นักเตะที่สำเร็จจากระดับอะคาเดมี่ปรับตัวได้เร็วขึ้นเมื่อขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ โดยสโมสรที่เป็นตัวอย่างชัดเจนของการวางโครงสร้างได้ดีที่สุดคือ อาแจ็กซ์ และ บาร์เซโลน่า ซึ่งทำตามโมเดลดังกล่าวต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจนเป็นขนบประจำสโมสร

 

ผอ.กีฬา จะตัดสินใจซื้อนักเตะเพื่อแนวทางส่วนรวม โดยทำงานร่วมกับทีม ไม่ใช่ความต้องการของตัวเอง

ภาพที่แฟนบอลหลายคนเข้าใจ ก็คือตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาจะมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบเรื่องตลาดซื้อขายนักเตะ ซึ่งประเด็นนี้ คาร์ลเซ่นได้ตอบชัดเจนว่าสโมสรที่มี ผอ.กีฬา จะต้องทำงานโดยตัดสินใจร่วมกันเป็นทีม ไม่ใช่โดยอำนาจเบ็ดเสร็จจากคนคนเดียว

ผู้อำนวยการกีฬาทุกสโมสรจะมีฝ่ายแมวมองที่ทำงานอยู่ภายใต้ตนเอง ซึ่งประกอบด้วยแมวมองแบบดั้งเดิม (ไปดูฟอร์มนักเตะถึงที่) และทีมนักวิเคราะห์ โดยกุนซือของสโมสรส่วนใหญ่มักจะมีความสุขกับการได้รับการป้อนข้อมูลเพื่อตัดสินใจว่าจะเลือกเสริมใครเข้าสู่ทีม หรือแม้กระทั่งการตัดสินใจว่าจะปล่อยนักเตะคนไหนออกไป แต่ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้การตัดสินใจเซ็นสัญญานักเตะหนึ่งคน แทบจะไม่ได้เกิดขึ้นด้วยคนคนเดียว แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการตัดสินใจร่วมกันเป็นทีม ที่มีผู้อำนวยการกีฬาเป็นผู้นำมากกว่า

ซึ่งไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม แนวคิดทั้งหมดในการมีผู้อำนวยการกีฬามาคุมเรื่องการสรรหานักเตะ ก็คือการทำให้แน่ใจว่าการเซ็นสัญญาจะต้องเข้ากับสไตล์การเล่นฟุตบอลและวิสัยทัศน์ของสโมสร โดยในความเป็นจริงทุกวันนี้จะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ในเรื่องของการดึงแข้งพรสวรรค์เข้ามาในมูลค่าที่สามารถพัฒนาเพื่อนำไปขายต่อได้อีก (ไบรท์ตัน หรือกลุ่มสโมสรในเครือ เร้ด บูลล์ จะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเคสนี้)

 

สิ่งที่หลายคนสงสัยก็คือ แล้ว “ผู้อำนวยการกีฬา” กับ “ผู้อำนวยการเทคนิค” นั้นแตกต่างกันอย่างไร?

คาร์ลเซ่นเผยว่าหน้าที่ของ 2 ตำแหน่งนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจที่แท้จริงที่สโมสรมอบให้ผู้ได้รับตำแหน่ง ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว มันอาจจะไม่แตกต่างกันเลยก็ได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้อธิบายความแตกต่างที่ชัดเจนให้เข้าใจง่าย ก็คือโดยปกติแล้วผู้อำนวยการเทคนิคมักจะมีตำแหน่งรองจากผู้อำนวยการกีฬา หรือแม้กระทั่งทำหน้าที่เป็น “มือขวา” ของ ผอ.กีฬา ในการเป็นผู้ช่วยที่ต้องเป็นหูเป็นตาลงไปสอดส่องงานในสนามของสโมสรโดยตรง โดยผู้อำนวยการเทคนิคจะมีอำนาจด้านบริหารน้อยกว่า ผอ.กีฬา แต่จะได้รับมอบหมายให้ไปดูแลงานในด้านกีฬาเป็นหลัก โดยจับตาดูการซ้อม การวางระบบการเล่นของเฮดโค้ช และพัฒนาการของนักเตะ

ซึ่งในเคสของ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนนี้ จะถือว่า แดน แอชเวิร์ธ ที่เข้ามาเป็นผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่จะมีอำนาจสูงกว่า เจสัน วิลค็อกซ์ ที่เป็นผู้อำนวยการเทคนิค โดยวิลค็อกซ์จะมีส่วนร่วมกับการสังเกตการณ์พัฒนาการฟุตบอลของทีมตั้งแต่ระดับอะคาเดมี่จนถึงทึมชุดใหญ่, มีบทบาทช่วยเรื่องการตัดสินใจด้านซื้อขาย และรายงานตรงต่อแอชเวิร์ธที่เป็นผู้บังคับบัญชา แต่ แดน แอชเวิร์ธ จะต้องรายงานตรงต่อซีอีโอสโมสรคนใหม่อย่าง โอมาร์ เบร์ราด้า

ซึ่งจากการที่ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ เข้ามาปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรใหม่ คาดว่าผู้จัดการทีมอย่าง เอริค เทน ฮาก จะมีอำนาจในหลายๆ เรื่องน้อยลงจากเดิม โดยจะไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจหลักเหมือนอย่าง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาอีกแล้ว

 

Pipat Sathirawut

Recent Posts

ตัวนำโชค : 12 แข้งพรีเมียร์ลีกยิงประตูได้ทีมไม่เคยแพ้

ในวงการฟุตบอลผลแพ้ ชนะ เป็นเรื่องปกติธรรมชาติสุดๆไม่มีใครหรือทีมไหนที่ไม่เคยแพ้ แต่มันก็มีนักเตะอยู่ไม่น้อยที่เมื่อใดก็ตามพวกเขาสามารถทำประตูได้ทีมจะไม่แพ้ ซึ่งต้องขยายความเพิ่มว่านักเตะที่เลือกมาในวันนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยแพ้ แต่จะเป็นประตูได้และไม่แพ้นานที่สุด 1.กาเบรียล เชซุส กาเบรียล เชซุส เป็นนักเตะที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกมาเยอะมากถึง 226 นัด โดยแบ่งเป็น…

7 hours ago

ย้อนที่มา “บ็อกซิ่งเดย์” ทำไมบอลอังกฤษต้องเตะในวันที่ใครๆ เขาก็หยุด?

เรียกว่าเป็นเอกลักษณ์สำหรับฟุตบอลอังกฤษ ที่จะต้องมีการแข่งขันในวันแกะกล่องของขวัญ หรือที่รู้จักกันใน “วันบ็อกซิ่งเดย์” เพื่อให้แฟนบอลได้ฉลองวันส่งท้ายปีไปพร้อมกับเชียร์ทีมรัก ทั้งนี้ ธรรมเนียมนี้ของชาวแดนผู้ดี แทบจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ลีกของยุโรป ที่มีโปรแกรมในวันที่ลีกอื่นพักเบรกหนีหนาว เพราะเหตุใด พวกเขาจึงต้องจัดโปรแกรมในวันนี้ ? และบางทีมันอาจจะเกี่ยวเนื่องในเชิงประวัติศาสตร์ ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน บ็อกซิ่งเดย์คืออะไร?…

7 hours ago

ขอโทษผมด้วย ! โอเว่น ยักไหล่หลังเคยบอก แมนฯ ซิตี้ ติดท็อปโฟร์ยังยาก

เรียกได้ว่าเป็นไวรัลอีกแล้ว เมื่อ ไมเคิ่ล โอเว่น ตำนานนักเตะของสโต๊ค ซิตี้ และลิเวอร์พูลหรือแมนฯ ยูไนเต็ด ที่มักถูกแฟนบอลแซวเรื่องคำวิจารณ์และทายผลลัพธ์ต่างๆ อยู่เสมอว่าความแม่นยำไม่ค่อยมีนั้น ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป็ป…

1 day ago

เจมี่ คาราเกอร์ สับเละ! หลัง เดบิด ราย่า ทำสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด

แม้ว่าในเกมล่าสุดที่อาร์เซนอลสามารถบุกไปเอาชนะคริสตัล พาเชซ มาได้ด้วยสกอร์สุดสวย 5-1 แต่ถ้ามองในรายละเอียดเกมทั้งหมดก็จะเห็นว่าอาร์เซนอลยังมีความผิดพลาดอยู่บ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะในครึ่งเวลาแรก หนึ่งในจังหวะหวาดเสียวที่สุดคือในนาทีที่ 10 ที่อาร์เซนอลพยายามจะบิ้วอัพจากหลังแต่คริสตัล พาเลซก็สามารถเพลสซิ่งได้ดี ในขณะนั้นบอลอยู่กับ เดบิด ราย่า เขามองขึ้นหน้าและเลือกจ่ายบอลไปให้ โธมัส ปาเตย์…

1 day ago

เอียน ไรท์ป้องแรชฟอร์ด! พวกคุณอยากให้เขาล้มเหลวเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองคิดถูก

ถ้าพูดถึง มาร์คัส แรชฟอร์ด ในช่วงนี้ต้องบอกว่าเต็มไปด้วยความเห็นที่แตกต่างกันมากมาย มีทั้งฝั่งที่เห็นใจ เข้าใจ และฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแรชฟอร์ด ในส่วนของฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับแรชฟอร์ดต่างบอกว่าต้องการให้แรชฟอร์ดย้ายออกจากทีมไปและไม่ว่าทีมไหนที่ได้ตัวไป นั้นจะเป็นฝันร้ายอย่างแน่นอน ซึ่งนี่อาจจะเป็นความคิดเห็นที่สุดโต่งไปหน่อยและไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนั้นเช่นกันกับ เอียน ไรท์ อดีตตำนานกองหน้าของอาร์เซนอล ที่ออกแสดงความคิดเห็นไว้ว่า “ผมย้ายไปอาร์เซนอลตอนอายุ…

2 days ago

5 สิ่งที่เกิดขึ้น หลังครบรอบ 5 ปีสุดทรหด ของ อาร์เตต้า และ อาร์เซนอล

วันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว (20 ธันวาคม 2562) มิเกล อาเตต้า ถูกแต่งตั้งเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ หลังปลด อูไนเอเมรี่ การทำงานตลอด 5 ปี ภายใต้…

3 days ago