จอฟฟรีย์ พรหมมายนต์ : แข้งสายเลือดไทยคนแรกใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

Maruak Tanniyom

January 16, 2025 · 2 min read

จอฟฟรีย์ พรหมมายนต์ : แข้งสายเลือดไทยคนแรกใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
ฟุตบอล | January 16, 2025
รู้จักกับอดีตเพื่อนร่วมทีม "R9" โรนัลโด้ เจ้าของสถิติแข้งสายเลือดไทยคนแรกในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

สัปดาห์นี้ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ศึกชิงแชมป์ถ้วยใหญ่สโมสรยุโรป ก็คัมแบ็คกลับมาเตะอีกครั้ง และตอนนี้กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย ที่จะตัดสินว่าทีมใด จะได้เข้าสู่รอบน็อคเอาท์ต่อไป

ทั้งนี้ แม้ว่ามันจะเป็นการชิงชัยการเป็นเบอร์ 1 ของทวีปยุโรป แต่อันที่จริงนักเตะสายเลือดไทย ก็เคยมีส่วนร่วมกับรายการนี้มาแล้ว นั่นก็คือ จอฟฟรีย์ พรหมมายนต์

เขาไปเล่นรายการนี้ได้อย่างไร และมีผลงานอะไรบ้าง ติดตามไปพร้อมกัน

เด็กหนุ่มจากอุดรธานี

จอฟฟรีย์ พรหมมายนต์ ถือเป็นชาวไทยโดยกำเนิด เขาเกิดที่จังหวัดอุดรธานี จากแม่ที่เป็นคนไทย และพ่อที่เป็นทหารอเมริกัน ที่มาประจำอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในช่วงสงครามเวียดนาม

แต่น่าเศร้าที่ จอฟฟรีย์ แทบจำหน้าพ่อไม่ได้ เพราะทหารอเมริกันคนนั้นได้ทิ้งแม่ไปตั้งแต่เขาอายุเพียง 8 เดือน ด้วยเหตุผลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เรียกตัวกลับ หลังสงครามเสร็จสิ้น

ผ่านมา 8 ปี หลังจากนั้น แม่จอฟฟรีย์ ก็ได้พบรักครั้งใหม่ ที่ทำให้เธอและลูกชายต้องจากบ้านเกิดไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในดินแดนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ อย่างเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่มันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นสู่วงการฟุตบอลของเขา

“พ่อที่แท้จริงของผมออกจากไทยไปตั้งแต่ผมอายุ 8 เดือน และเราไม่เคยเจอกันอีกเลย เขาไปประจำการในฐานะทหารอเมริกัน แต่ก็ต้องกลับไปเมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาสัญญาว่าเขาจะมารับเรา แต่เราก็ไม่ได้ยินข่าวคราวเขาอีกเลยในอีกหลายปีต่อจากนั้น” จอฟฟรีย์ กล่าวกับ Vice

“ท้ายที่สุดแม่ผมก็ต้องเดินไปข้างหน้าและพบกับแฟนใหม่ เรามาใช้ชีวิตอยู่กับเขาที่เมืองไอนด์โฮเฟน สถานที่ที่ผมเริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรสมัครเล่น จนกระทั่งแมวมองของพีเอสวีมาเจอผมตอนอายุ 11 ปี”

 

ด้วยผลงานที่ไม่เลวตั้งแต่สมัยเยาวชน ทำให้ จอฟฟรีย์ ได้รับสัญญาอาชีพตอนอายุ 18 ก่อนจะก้าวขึ้นมายึดตำแหน่งแบ็คขวาของพีเอสวี ไอน์โฮเฟน ในช่วงเดียวกับที่ “R9” โรนัลโด้ เข้ามาร่วมทีม

เขาช่วยให้ พีเอสวี จบในอันดับ 3 ของลีก และได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าคัพ 3 ฤดูกาลติด ก่อนที่ในฤดูกาล 1999/2000 เขาจะสามารถจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์

แข้งไทยคนแรกในแชมเปียนส์ลีก

หลังจากเล่นให้ พีเอสวี ถึง 5 ฤดูกาลเต็ม จอฟฟรีย์ ก็ถึงคราวต้องโยกย้าย หลังทีมคว้าตัว ยาป สตัม แนวรับดาวรุ่งจาก วิลเลียม ทเว และทำให้เขาย้ายสลับขั้วไป

แนวรับสายเลือดไทยใช้เวลาไม่นาน ก็ปรับเข้ากับทีมใหม่ และกลายเป็นกำลังสำคัญของ วิลเลียม ทเว รวมถึงชุดคว้ารองแชมป์ลีกดัตช์ ฤดูกาล 1998/1999 ที่ทำให้พวกเขาได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เป็นครั้งแรกของสโมสร

ซีซั่นต่อมา จอฟฟรีย์ ยังคงได้รับความไว้วางใจในแนวรับของ วิลเลียม ทเว และถูกส่งลงสนามใน UCL ไปถึง 5 จาก 6 เกม ที่ทำให้เขากลายเป็นนักเตะสายเลือดไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ได้ลงเล่นในรายการนี้

“นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตนักเตะของผม ผมได้ลงเล่นในแชมเปียนส์ลีก ที่ทุกคนต่างฝันถึง นั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสร” จอฟฟรีย์ กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Eindhovens Dagblad

การเป็นนักเตะชาวไทยในเวทียุโรป ทำให้สมาคมฟุตบอลไทย มีความสนใจที่จะดึงตัวเขามาติดทีมชาติชุดดรีมทีม ทว่าด้วยกฎของฟีฟ่าในขณะนั้น ทำให้เขาต้องพลาดโอกาสนี้ไป

“ผมไม่เคยไปเล่นให้ทีมชาติไทย มันทำไม่ได้เพราะว่าผมเคยเล่นในเกมอย่างเป็นทางการให้ทีมเยาวชนเนเธอร์แลนด์แล้ว” จอฟฟรีย์อธิบายกับ Vice

“ย้อนกลับไปตอนนั้น กฎมันต่างออกไป คุณไม่สามารถเล่นให้ทีมชาติอื่นได้อีก มันโหดร้ายเกินไป”

“ผมได้รับการติดต่อจากสมาคมฟุตบอลทีมชาติไทยมาตั้งแต่ตอนที่เล่นให้ วิลเลียม ทเว และผมก็อยากไปเล่นให้กับชาติบ้านเกิด โดยเฉพาะเมื่อมองความเป็นจริงว่าผมไม่น่าจะได้เล่นให้กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ได้อีก”

สุดท้าย จอฟฟรีย์ กับทีมชาติไทย ก็ไม่เคยได้เกิดขึ้น ก่อนที่หลังจากนั้น เขาจะย้ายไปเล่นในลีกรองให้กับ เอฟซี ไอนด์โฮเฟน และ เบลา กีลล์ 38 และแขวนสตั๊ดไปเมื่อปี 2011

ทั้งนี้ อันที่จริง ระหว่างนั้น เขาต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่เขาลืมไม่ลง หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน และค้ายาเสพติด จนต้องติดคุกไป 3 เดือน แต่สุดท้ายก็พ้นมลทิน

ปัจจุบัน จอฟฟรีย์ ทำงานอยู่ในบริษัทรถยนต์ ไปพร้อมกับเป็นโค้ชให้กับ พีเอสวี/เอวี สโมสรนอกลีก แต่ก็ลงมาร่วมแจมในฐานะผู้เล่นในบ้างครั้ง

ส่วนกับประเทศไทย เขายังคงติดต่อกับญาติที่นั่น และอยากจะหาโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของอีกสักครั้ง หลังจากต้องห่างมานานกว่า 50 ปี

“ผมยังได้ติดต่อกับลูกพี่ลูกน้องของผมที่ไทย มันคงวิเศษที่วันหนึ่งผมหวังว่าจะได้ไปเยี่ยมพวกเขาอีกครั้ง” จอฟฟรีย์ ทิ้งท้าย