มีกูไว้ไก่ไม่แพ้!! เผยสถิติ ก็องเต้แข้งยุโรปไร้พ่ายบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่นานสุด

ทีมชาติฝรั่งเศสภายใต้การคุมทีมของ ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ อาจจะยังโชว์ฟอร์มได้ไม่น่าประทับใจ เพราะเกมรุกยังไม่อยู่ในระดับฟอร์มสุดยอด แต่ก็ยังเอาตัวรอดผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายยูโร 2024 ได้สำเร็จ เมื่อเฉือนชนะเบลเยียม 1-0 ได้ในรอบ 16 ทีม ด้วยประตูชัยช่วงท้ายเกมจากการทำเข้าประตูตัวเองของ ยาน แฟร์ท็องเก้น กองหลังของเบลเยียม

หนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานโดดเด่นที่สุดของทีมตราไก่ชุดนี้ก็คือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กองกลางวัย 33 ปีที่กลับมาติดทีมชาติลุยศึกใหญ่อีกครั้ง หลังจากเคยห่างหายจากการติดทีมชาติไปนานถึงเกือบ 2 ปีเต็มเพราะสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ และจากการช่วยทีมชาติเก็บชัยชนะได้อีกนัด ทำให้ดาวเตะจาก อัล-อิตติฮัด สโมสรในซาอุดีอาระเบีย ยังรักษาสถิติลงสนามในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่ (ยูโรและฟุตบอลโลก) แล้วไม่เคยแพ้ใครต่อไป ถ้าไม่นับช่วงดวลจุดโทษ

โดยเกมที่ฝรั่งเศสชนะเบลเยียม 1-0 นัดล่าสุด ถือเป็นเกมที่ 19 ติดต่อกันเข้าไปแล้ว ที่พลพรรค เลส์ เบลอส์ ยังไม่แพ้ใครในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ ถ้าหากส่งก็องเต้ลงสนาม โดยเก็บชัยชนะได้มากถึง 13 นัด เสมอ 6 นัด และจบเกมโดยไม่เสียประตูถึง 10 นัดด้วยกัน

สถิติดังกล่าวทำให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ยืดสถิติเป็นนักเตะชาวยุโรปที่ช่วยให้ทีมชาติของตัวเองไม่แพ้ใครในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่รอบสุดท้ายนานที่สุดตลอดกาลของโลกต่อไป โดยอันดับ 2 เป็นของ ซิโมเน่ แปร์ร็อตต้า อดีตกองกลางทีมชาติอิตาลีที่ทำไว้ 13 นัดซ้อน (ยูโร 2004, ฟุตบอลโลก 2006 และยูโร 2008)

สำหรับเกมนัดชิงยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศสแพ้โปรตุเกส 0-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษนั้น ก็องเต้มีชื่อเป็นแค่ตัวสำรองโดยไม่ถูกส่งลงสนาม โดยทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวเขาได้ลงสนามไป 4 นัด ช่วยทีมเก็บชัยชนะได้ทุกนัด รวมถึงได้ลงตัวจริงครบทั้ง 7 นัดในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ทัพตราไก่คว้าแชมป์ได้ที่รัสเซีย ขณะที่ในรายการฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ ก็องเต้ไม่ได้ติดทีมไปด้วยเพราะเจ็บหนักที่แฮมสตริง

โดยในศึกยูโรหนนี้ มิดฟิลด์จอมขยันที่เคยเป็นอดีตผู้เล่นของ เลสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี สามารถคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ได้ถึง 2 นัด ในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่ชนะออสเตรีย 1-0 และนัดเสมอเนเธอร์แลนด์ 0-0

 

สรุป 19 เกมที่ทีมชาติฝรั่งเศสไร้พ่ายในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ เมื่อส่ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ลงสนาม (ไม่นับช่วงดวลจุดโทษ)

นัดที่ 1 : ชนะ โรมาเนีย 2-1 (ยูโร 2016 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 2 : ชนะ แอลเบเนีย 2-0 (ยูโร 2016 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 3 : ชนะ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ 2-1 (ยูโร 2016 รอบ 16 ทีมสุดท้าย)

นัดที่ 4 : ชนะ เยอรมนี 2-0 (ยูโร 2016 รอบรองชนะเลิศ)

นัดที่ 5 : ชนะ ออสเตรเลีย 2-1 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 6 : ชนะ เปรู 1-0 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 7 : เสมอ เดนมาร์ก 0-0 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 8 : ชนะ อาร์เจนตินา 4-3 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบ 16 ทีมสุดท้าย)

นัดที่ 9 : ชนะ อุรุกวัย 2-0 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบ 8 ทีมสุดท้าย)

นัดที่ 10 : ชนะ เบลเยียม 1-0 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบรองชนะเลิศ)

นัดที่ 11 : ชนะ โครเอเชีย 4-2 (ฟุตบอลโลก 2018 รอบชิงชนะเลิศ)

นัดที่ 12 : ชนะ เยอรมนี 1-0 (ยูโร 2020 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 13 : เสมอ ฮังการี 1-1 (ยูโร 2020 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 14 : เสมอ โปรตุเกส 2-2 (ยูโร 2020 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 15 : เสมอ สวิตเซอร์แลนด์ 3-3 (ยูโร 2020 รอบ 16 ทีมสุดท้าย) *ฝรั่งเศสแพ้จุดโทษ 4-5*

นัดที่ 16 : ชนะ ออสเตรีย 1-0 (ยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 17 : เสมอ เนเธอร์แลนด์ 0-0 (ยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 18 : เสมอ โปแลนด์ 1-1 (ยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม)

นัดที่ 19 : ชนะ เบลเยียม 1-0 (ยูโร 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย)