เจาะเบื้องลึกตำนาน "อีริคส์สัน" ทำยังไงถึงพาลาซิโอเป็นยอดทีม?

Pipat Sathirawut

August 26, 2024 · 3 min read

เจาะเบื้องลึกตำนาน
ฟุตบอล | August 26, 2024

สเวน-โกรัน อีริคส์สัน จากโลกนี้ไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับในวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2024 เมื่อเสียชีวิตไปในวัย 76 ปีด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ซึ่งบุคคลในวงการฟุตบอลหลายคนต่างอาลัยกับการจากไปของเขา เพราะในอดีต นี่คือหนึ่งในกุนซือระดับชั้นยอดของโลกอย่างแท้จริง

เขาคือกุนซือคนแรกที่ทำให้สโมสรจากลีกสวีเดนคว้าโทรฟี่รายการของยุโรป ด้วยแชมป์ ยูฟ่า คัพ ในปี 1982, เคยพาเบนฟิก้าคว้าแชมป์ลีกโปรตุเกสได้ 3 สมัย โดยเคยพาทีมเหยี่ยวลิสบอนเข้าถึงรอบชิง ยูโรเปี้ยน คัพ เมื่อปี 1990 และเขาคือเฮดโค้ชชาวต่างชาติคนแรกในประวัติศาสตร์ของทีมชาติขวัญใจมหาชนอย่างอังกฤษ เมื่อรับตำแหน่งในปี 2001 ก่อนคุมทีมยาวจนกระทั่งจบศึกฟุตบอลโลกปี 2006

แต่ความสำเร็จที่หลายคนจดจำมากที่สุด น่าจะเป็นการพาลาซิโอคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ได้ในฤดูกาล 1999-2000 ซึ่งนั่นยังคงเป็นสคูเด็ตโต้สมัยสุดท้ายของทีมอินทรีฟ้าขาวมาจนถึงทุกวันนี้

ในช่วงเวลา 3 ปีครึ่ง หรือตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายใหญ่ของลาซิโอในช่วงซัมเมอร์ปี 1997 จนลาออกจากตำแหน่งในเดือนมกราคมปี 2001 เขาพาลาซิโอคว้าแชมป์ได้มากถึง 7 รายการ ประกอบด้วยแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา 1 สมัย, แชมป์ โคปปา อิตาเลีย 2 สมัย, แชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย, แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย และแชมป์ซูเปอร์คัพของอิตาลีอีก 2 ครั้ง

เขาคือกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของลาซิโอ ทั้งที่ก่อนเขาเข้าไปคุมทีม ลาซิโอร้างแชมป์นานถึง 23 ปี ตั้งแต่คว้าสคูเด็ตโต้สมัยแรกในปี 1974 แถมเคยมีช่วงตกต่ำลงไปเล่นใน กัลโช่ เซเรีย บี เลยด้วยซ้ำ

อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้ สเวน-โกรัน อีริคส์สัน สร้างทีมอินทรีฟ้าขาวชุดตำนาน ที่ไปถึงจุดสูงสุดด้วยตำแหน่งแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ในฤดูกาล 1999-2000 ได้? เจ้าตัวเคยเขียนเล่าไว้ในเว็บไซต์ The Coaches’ Voice ถึงช่วงที่เขาเข้าไปคุมทีมเลยทีเดียว

 

เคยมีประสบการณ์คุม 3 ทีมในอิตาลีมาก่อน

หลังจากที่สร้างโปรไฟล์สวยหรูได้ด้วยการพา ไอเอฟเค โกเตบอร์ก คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ ในปี 1982 ต่อด้วยไปคุมเบนฟิก้าคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของโปรตุเกสถึง 2 สมัยซ้อนในซีซั่น 1982-83 และ 1983-84 อีริคส์สันก็ได้รับข้อเสนอให้ไปคุมสโมสรในลีกสูงสุดของอิตาลี โดยเริ่มต้นด้วยการไปคุมโรม่าในปี 1984 ซึ่งในช่วงยุค 80 นั้น กัลโช่ เซเรีย อา คือลีกที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

สเวน-โกรัน อีริคส์สัน สามารถพาโรม่าคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ได้ในฤดูกาล 1985-86 และได้รองแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ฤดูกาลนั้น ก่อนจะโยกไปคุมฟิออเรนติน่าในปี 1987 จนถึงปี 1989 แต่หลังจากที่เจ้าตัวรู้สึกว่าทีมม่วงมหากาฬไม่ได้มีความทะเยอทะยานจะคว้าแชมป์ในช่วงเวลาที่เขาคุมทีม ทำให้อีริคส์สันเลือกกลับไปทำงานที่โปรตุเกสกับเบนฟิก้าอีกครั้งต่ออีก 3 ปี แล้วค่อยกลับมาที่อิตาลีอีกครั้งในปี 1992 โดยอยู่คุมซามพ์โดเรียยาวจนถึงปี 1997

อีริคส์สันสามารถพาทัพ “ลา ซามพ์” ซิวแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ได้ในฤดูกาล 1993-94 และนั่นยังคงเป็นแชมป์ระดับเมเจอร์รายการสุดท้ายของซามพ์โดเรียจนถึงทุกวันนี้ แต่หลังจากที่กุนซือชาวสวีดิชทำงานที่นั่นนานถึง 5 ปีและคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ได้เพียงรายการเดียว นั่นทำให้เขาคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันเพื่อไปรับงานใหม่ที่มีความท้าทายมากกว่า

 

เซ็นสัญญากับกุหลาบไฟแล้ว แต่เปลี่ยนใจไปรับงานกับลาซิโอแทน

หลังจากที่ สเวน-โกรัน อีริคส์สัน ตกลงล่วงหน้ากับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ทีมในศึกพรีเมียร์ลีกไว้ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 1996 ว่าจะไปรับตำแหน่งกุนซือทีมกุหลาบไฟตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 1997 เป็นต้นไปได้ไม่นาน จู่ๆ เขาก็ได้รับข้อเสนอจากลาซิโอ ที่อยากได้ตัวเขาไปเป็นส่วนสำคัญในโปรเจ็คต์พาทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

“ผมเซ็นสัญญากับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ไปแล้ว หลังจากผมเซ็นได้ไม่กี่วัน ลาซิโอก็ติดต่อมาหาผม”

“พวกเขามีทีมที่ยอดเยี่ยม แต่พวกเขาไม่ได้แชมป์อะไรเลยนานกว่า 20 ปี แม้ว่าผมจะรู้ว่าพวกเขามีประธานสโมสรที่ดีอย่าง แซร์โจ้ คราญญ็อตติ อยู่ก็ตาม”

“ผมรู้ถึงความทะเยอทะยานของพวกเขา ผมจึงขอร้องแบล็คเบิร์นว่า “ได้โปรด ปล่อยให้ผมได้ไปลาซิโอเถอะ” ซึ่งหลังจากที่มีการประชุมกันหลายครั้ง พวกเขาก็บอกว่า “โอเค เราเข้าใจ” “

“ผมขอบคุณแบล็คเบิร์นในเรื่องนั้นทุกๆ วัน จากปี 1997 ผมอยู่กับลาซิโอเป็นเวลา 3 ปีครึ่ง และพวกเขาคือช่วงเวลาแห่งโชค เป็นช่วงเวลาที่งดงาม”

 

แซร์โจ้ คราญญ็อตติ (ซ้าย) อดีตประธานสโมสรลาซิโอ ที่สนับสนุน สเวน-โกรัน อีริคส์สัน เต็มที่

 

ประธานสโมสรช่วยซื้อขายนักเตะให้อย่างที่ต้องการ

มีกุนซือเพียงไม่กี่คน ที่กล้าเรียกร้องให้สโมสรขายนักเตะที่ดีที่สุดของทีมออกไปหลังจากเพิ่งเข้าไปคุมทีมใหม่ๆ แต่ว่า สเวน-โกรัน อีริคส์สัน กล้าทำแบบนั้นตอนที่เพิ่งไปคุมลาซิโอได้ไม่นาน เพราะเขาขอร้องให้ แซร์โจ้ คราญญ็อตติ ประธานสโมสรทีมอินทรีฟ้าขาวขายดาวยิงตัวเก่งทีมชาติอิตาลีอย่าง จูเซ็ปเป้ ซิญญอรี่ ออกไประหว่างซีซั่น 1997-98 ทั้งที่ ซิญญอรี่ คือนักเตะที่การันตีการยิงใน กัลโช่ เซเรีย อา ไม่ต่ำกว่าฤดูกาลละ 15 ประตูทุกซีซั่น แถมเป็นกัปตันทีมอีกต่างหาก

“ประธานสโมสรทำแทบทุกอย่างที่ผมขอ พวกเราคว้าแชมป์ได้ 7 รายการและสุดยอดมาก” อีริคส์สันเคยเผยเรื่องราวไว้กับ The Coaches’ Voice

“ผมเปลี่ยนนักเตะบางคนที่อยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน และเป็นคนที่ผมคิดว่าไม่ได้มีความคิดที่ถูกต้อง ซึ่ง จูเซ็ปเป้ ซินญอรี่ คือหนึ่งในนั้น เขาเป็นนักเตะที่มหัศจรรย์ เป็นกัปตันทีมของลาซิโอ เป็นตัวจบสกอร์ที่ดีที่สุด และเขาคือนักเตะทีมชาติอิตาลี”

“แต่เขาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปีโดยไร้ความสำเร็จ และเขาไม่ใช่คนคิดบวก เขาไม่คิดว่าเราน่าจะหรือสามารถคว้าแชมป์อะไรได้ ผมจึงต้องเอาเขาออกไป”

“ผมไปคุยกับประธานสโมสรแล้วบอกว่า “เราต้องขายซิญญอรี่” ซึ่งปฏิกิริยาของเขา ผมนึกว่าเขาหัวใจวายไปซะแล้ว เขาบอกว่า “ไม่ คุณล้อเล่นแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ เขาคือกัปตันและเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของเรา เขาคือราชาแห่งเมืองนี้” “

“ผมบอกไปว่าเขาไม่ใช่สำหรับทีม ถ้าหากเราต้องการคว้าแชมป์ ซึ่งผมใช้เวลาทุกๆ วันเป็นเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์บอกท่านประธานว่า “ขายเขาเถอะ ขายเขาเถอะ” แล้วจู่ๆ เขาก็ยอมทำ แล้วแฟนบอลก็คลั่งกันสุดๆ พวกเขาเกลียดผม ผมคิดว่าพวกแฟนบอลอยากฆ่าผมเลยแหละ”

“เราขายเขาไปในช่วงท้ายสัปดาห์ที่เราแพ้อูดิเนเซ่คาบ้านในวันอาทิตย์ ผมไม่สามารถเข้าไปที่สนามซ้อมเพื่อคุมซ้อมเซสชั่นต่อไปได้เลย เพราะเจอแฟนบอลมาขวางไว้ ตำรวจก็อยู่ที่นั่นด้วยนะ แต่พวกเขารับมือกับสถานการณ์ไม่ได้ แฟนบอลปีนข้ามกำแพงและบุกรุกเข้ามาในสนามซ้อม มันจึงไม่มีการซ้อมเกิดขึ้น นั่นคือช่วงเวลาที่ยากลำบากเลย”

 

จูเซ็ปเป้ ซิญญอรี่ อดีตดาวยิงตัวเก่งกัปตันทีมของลาซิโอ

 

ผลงานของลาซิโอในฤดูกาลแรกที่ สเวน-โกรัน อีริคส์สัน เข้าไปคุมทีมยังไม่ดีเท่าไรในลีก เพราะจบแค่อันดับ 7 ใน กัลโช่ เซเรีย อา แต่การคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย มาครองได้ หลังจากสโมสรไม่มีโทรฟี่นานถึง 24 ปี ทำให้แฟนบอลลดอคติที่มีต่อตัวของเฮดโค้ชชาวสวีเดนรายนี้ลง

“หลายเดือนต่อมา เราคว้าแชมป์แรกได้นั่นคือถ้ว โคปปา อิตาเลีย แล้วหลังจากนั้นเราก็ได้เพิ่มอีก 6 แชมป์ แล้วไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของซิญญอรี่อีกเลยหลังจากนั้น”

ในช่วงซัมเมอร์ปี 1998 ลาซิโอเสริมทัพด้วยดาวดังมากมายเพื่อต่อยอดทีมให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน วิเอรี่, มาร์เซโล่ ซาลาส, ซินิซ่า มิไฮโลวิช, เดยัน สแตนโควิช และ แฟร์นันโด คูโต้ ช่วยให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นชัดเจน จนต่อยอดด้วยแชมป์ซูเปอร์คัพของอิตาลี, ได้รองแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา โดยมีแต้มน้อยกว่า เอซี มิลาน แค่แต้มเดียว และคว้าแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ ฤดูกาล 1998-99 มาครองได้

จากนั้นในช่วงซัมเมอร์ปี 1999 ทีมอินทรีฟ้าขาวใช้เงินที่ได้จากการขายดาวยิงอย่าง คริสเตียน วิเอรี่ ไปให้ อินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัวสถิติโลกถึง 90 ล้านลีร์ หรือ 32 ล้านปอนด์ในเวลานั้น ไปคว้านักเตะคุณภาพอย่าง ฮวน เซบาสเตียน เวรอน กับ เนสตอร์ เซนซินี่ มาจากปาร์ม่า และทุ่มซื้อ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ มาจาก อินเตอร์ มิลาน  ทำให้อีริคส์สันได้ทีมชุดที่ลงตัวทุกตำแหน่ง จนพาลาซิโอกวาดแชมป์ทั้ง กัลโช่ เซเรีย อา และ โคปปา อิตาเลีย ได้ในฤดูกาล 1999-2000

 

ไม่ทิ้งความเชื่อมั่น ถ้ายังมีหวัง

การคว้าสคูเด็ตโต้ของลาซิโอในฤดูกาล 1999-2000 ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะในช่วงครึ่งซีซั่นหลังมีหลายเกมที่ทีมอินทรีฟ้าขาวทำแต้มสะดุดไป ซึ่งหลังจบเกมนัดที่ 26 ที่ลาซิโอออกไปแพ้เวโรน่า 1-0 ทำให้สถานการณ์บนตารางคะแนนต้องตามหลังจ่าฝูงอย่างยูเวนตุสห่างถึง 9 แต้ม โดยเหลือโปรแกรมอีกแค่ 8 นัดเท่านั้น

ณ ตอนนั้น ยูเวนตุสกำลังผลงานสุดยอด ไม่แพ้ใครในลีกนานถึง 22 นัดติดต่อกัน แถมชนะ 6 เกมรวดก่อนเข้าสู่ช่วง 8 นัดสุดท้าย ถ้าดูจากฟอร์มแล้ว ลาซิโอจะถอดใจก็ไม่แปลก แต่ว่า สเวน-โกรัน อีริคส์สัน ไม่คิดแบบนั้น

“พวกเรามีแต้มตามหลังยูเวนตุสเยอะมาก แต่ผมยังบอกกับนักเตะต่อไปว่า “เรายังสามารถคว้าแชมป์นี้ได้” ผมไม่รู้หรอกว่ามีพวกเขากี่คนที่คิดว่ามันเป็นไปได้”

“เจ้าของทีมยังบอกเลยว่า “สเวน มันหลุดมือไปอีกแล้วล่ะ” แต่ผมบอกว่า “ไม่ เรายังคว้าแชมป์ได้” “

การที่ยูเวนตุสเจอโปรแกรมยาก ออกไปแพ้ เอซี มิลาน 2-0 ส่วนลาซิโอได้ 3 แต้มสำคัญในเกมดาร์บี้แมตช์กรุงโรมด้วยการเฉือนชนะโรม่า 2-1 ทำให้ช่องว่างที่ตามหลังทีมม้าลายลดเหลือแค่ 6 แต้ม แล้วเมื่ออีริคส์สันพาทีมบุกไปชนะยูเว่ได้ถึงถิ่น 1-0 ในเกมที่ 28 ของฤดูกาล (ตอนนั้น เซเรีย อา มี 18 ทีม แข่งกันทีมละ 34 นัด) ทำให้ช่องว่างจากที่ตามหลัง 9 แต้ม ลดเหลือแค่ 3 แต้มเท่านั้น ทำให้การลุ้นแชมป์ช่วง 6 เกมสุดท้ายกลับมาสูสีกันสุดๆ อีกครั้ง

สุดท้ายลาซิโอคว้าสคูเด็ตโต้ในเกมสุดท้ายของฤดูกาลเมื่อเปิดบ้านถล่มเรจจิน่า 3-0 ส่วนผลอีกสนาม ยูเวนตุสที่เป็นจ่าฝูงก่อนลงเตะนัดสุดท้ายดันออกไปแพ้เปรูจา 1-0 แบบพลิกล็อค ทำให้ทีมอินทรีฟ้าขาวพลิกสถานการณ์คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอิตาลีได้เป็นสมัยที่ 2 ของสโมสร  และเป็นการได้แชมป์ เซเรีย อา หนแรกในรอบ 26 ปี

ซึ่งนั่นถือเป็นหนึ่งในการลุ้นสคูเด็ตโต้ที่สนุก, สูสี และน่าจดจำมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเป็นแชมป์ที่ทำให้ชื่อของ สเวน-โกรัน อีริคส์สัน กลายเป็นกุนซือขึ้นหิ้งของช่วงยุค 90-2000 อย่างแท้จริง