บททดสอบกระทิงดุ : เมื่อประวัติศาสตร์ชี้ว่าถ้าสเปนเจอเจ้าภาพรายการใหญ่รอบไหน ต้องตกรอบทุกครั้ง
สเปนคือชาติเดียวของศึกยูโร 2024 ที่ยังครองสถิติชนะรวด 100% มาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจนกระทั่งจบรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาคือทีมที่เกมรับดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์ โดยเสียประตูแค่ลูกเดียวเท่านั้นจากการทำเข้าประตูตัวเองในเกมชนะจอร์เจีย 4-1 ในรอบ 16 ทีม
แนวรุกที่นำโดยปีกดาวรุ่งอย่าง ลามีน ยามาล และ นิโก้ วิลเลี่ยมส์ ก็กำลังฟอร์มร้อนแรง ขณะที่แดนกลางที่ประกอบด้วย เปดรี้, โรดรี้ และ ฟาเบียน รุยซ์ ก็ต่างประสานงานเข้ากันอย่างลงตัว ทำให้สถานะของพวกเขาเมื่อเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายคือตัวเต็งลำดับสองที่จะคว้าแชมป์ รองจากอังกฤษที่ยังเป็นเต็งหนึ่งเพียงชาติเดียวเท่านั้น (อังกฤษเป็นเต็งหนึ่งเพราะถูกมองว่าเส้นทางจนกว่าจะถึงนัดชิงยังไม่ต้องเจองานยาก)
อย่างไรก็ตาม คู่แข่งของทีมกระทิงดุในรอบก่อนรองชนะเลิศยูโรปีนี้คือชาติเจ้าภาพที่ฟอร์มแกร่งเช่นกันอย่างเยอรมนี ซึ่งสถิติบ่งบอกว่าในประวัติศาสตร์ฟุตบอลทีมชาติสเปน ถ้าหากพวกเขาต้องโคจรมาพบกับชาติเจ้าภาพในรอบใดก็ตามของทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในฟุตบอลโลกหรือยูโร พวกเขาจะต้องตกรอบนั้นไปทุกครั้ง
ฟุตบอลโลก 1934 ที่อิตาลี : ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
นั่นคือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สเปนเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก โดยฟุตบอลโลกปีนั้นยังไม่มีรอบแบ่งกลุ่ม ทั้ง 16 ชาติที่เข้าร่วมทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้ายจะแข่งกันแบบแพ้คัดออกทันที
สเปนสามารถผ่านรอบแรกที่มี 16 ทีมด้วยการเอาชนะบราซิล 3-1 ก่อนที่จะต้องพบกับเจ้าภาพอย่างอิตาลีในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยเสมอกัน 1-1 ใน 90 นาที แล้วช่วงต่อเวลาพิเศษก็ไม่มีประตูเพิ่ม ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีการดวลจุดโทษตัดสินผู้ชนะ จึงต้องรีเพลย์กันอีกนัดในวันถัดมา แล้วพวกเขาก็แพ้ทีมอัซซูรี่ไป 1-0 ซึ่งสุดท้ายอิตาลีทะลุไปคว้าแชมป์โลกสมัยแรกได้ด้วย
ฟุตบอลโลก 1950 ที่บราซิล : อันดับ 4
รูปแบบการแข่งขันฟุตบอลโลกปีนั้น จะมีทั้งหมด 13 ชาติในรอบสุดท้าย โดยรอบแรกจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม มี 2 กลุ่มที่มี 4 ชาติ, 1 กลุ่มที่มี 3 ชาติ และอีกกลุ่มมี 2 ชาติ คัดเอาเฉพาะแชมป์กลุ่มผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
ซึ่งสเปนผ่านรอบแรกได้แบบไม่มีปัญหา เมื่อชนะ 3 นัดรวดในกลุ่มที่มี 4 ชาติ โดยอยู่ร่วมสายกับ สหรัฐอเมริกา, ชิลี และ อังกฤษ ทำให้ได้เป็นหนึ่งในแชมป์กลุ่มที่ต้องพบกันหมดในรอบ 4 ทีมสุดท้าย
ในรอบ 4 ทีมสุดท้ายประกอบด้วยบราซิล, อุรุกวัย, สวีเดน และ สเปน ซึ่งสเปนประเดิมเกมแรกในรอบนั้นด้วยการเสมออุรุกวัย 2-2 ก่อนจะแพ้เจ้าภาพอย่างบราซิลยับเยิน 6-1 ในนัดถัดมา ส่วนเกมสุดท้ายก็แพ้สวีเดนไป 3-1 จึงจบอันดับบ๊วยของกลุ่ม ขณะที่ตำแหน่งแชมป์โลกตกเป็นของอุรุกวัย ที่ชนะเจ้าภาพในเกมสุดท้ายที่ตัดสินแชมป์ไป 2-1 ทั้งที่บราซิลต้องการแค่ผลเสมอก็เพียงพอจะเป็นแชมป์ในบ้านตัวเอง แต่พอแพ้ต่ออุรุกวัย ทำให้ทีมจอมโหดได้แชมป์โลกสมัยที่ 2 ไปด้วยการมีคะแนนมากกว่าเพียงแต้มเดียว
ยูโร 1980 ที่อิตาลี : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ในปี 1980 รูปแบบการแข่งขันของยูโรจะมี 8 ชาติในรอบสุดท้าย รอบแรกจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ชาติ คัดเอา 2 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ
สเปนถูกจับสลากไปอยู่ร่วมกับเจ้าภาพอย่างอิตาลี ส่วนคู่แข่งอีก 2 ชาติคือ เบลเยียม และ อังกฤษ ซึ่งทีมกระทิงดุสามารถประเดิมเกมแรกด้วยการเสมอเจ้าภาพได้ 0-0 แต่ว่าแพ้รวดในอีก 2 เกมต่อมา จึงมีแค่คะแนนเดียวแล้วต้องตกรอบไปในฐานะทีมบ๊วยของกลุ่ม
ยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศส : รองแชมป์
ในปี 1984 รูปแบบการแข่งขันยังคงเหมือนกับปี 1980 ซึ่งสเปนผ่านรอบแรกในฐานะแชมป์กลุ่มที่มี โรมาเนีย, โปรตุเกส และ เยอรมนีตะวันตก ร่วมสายได้ ก่อนจะดวลจุดโทษเอาชนะเดนมาร์กในรอบรองชนะเลิศ จึงได้ผ่านเข้าชิงไปพบกับเจ้าภาพ
แต่ในเกมนัดชิง ทีมกระทิงดุต้องแพ้ให้ฝรั่งเศสไป 2-0 ซึ่งนั่นคือแชมป์ทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกของทีมตราไก่ และเป็นครั้งสุดท้ายที่ตำแหน่งแชมป์ยูโรตกเป็นของประเทศเจ้าภาพ
ยูโร 1988 ที่เยอรมนีตะวันตก : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ปี 1988 เป็นอีกครั้งที่รูปแบบการแข่งขันมี 8 ชาติในรอบสุดท้าย และแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ชาติในรอบแรก
สเปนอยู่กลุ่มเดียวกับ เดนมาร์ก, อิตาลี และเจ้าภาพอย่าง เยอรมนีตะวันตก ซึ่งหลังจากเปิดหัวเกมแรกด้วยการชนะเดนมาร์ก 3-2 แล้ว พวกเขาก็แพ้รวดในอีก 2 เกมถัดมา จึงไม่ได้ผ่านเข้ารอบต่อไป
ยูโร 1996 ที่อังกฤษ : ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ปี 1996 ถือเป็นครั้งแรกที่ยูโรรอบสุดท้ายมีทีมเข้าร่วมถึง 16 ชาติ โดยรอบแบ่งกลุ่มจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ชาติ คัดเอา 2 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์
สเปนผ่านรอบแบ่งกลุ่มที่มี ฝรั่งเศส, บัลแกเรีย และ โรมาเนีย ร่วมสายได้ด้วยการเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม B จึงต้องพบกับเจ้าภาพอย่างอังกฤษที่เป็นแชมป์กลุ่ม A ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยตลอดทั้ง 120 นาที ทีมกระทิงดุเสมอกับทัพสิงโตคำราม 0-0 ก่อนแพ้ในช่วงดวลจุดโทษ ซึ่งนั่นทำให้สเปนคือชาติสุดท้ายที่แพ้อังกฤษในช่วงดวลจุดโทษของฟุตบอลยูโรด้วย
ฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้/ ญี่ปุ่น : ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ฟุตบอลโลก 2002 ถือเป็นครั้งแรกที่ศึก ฟีฟ่า เวิลด์คัพ ใช้เจ้าภาพร่วม และเป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจัดขึ้นในทวีปเอเชีย และนั่นคือฟุตบอลโลกที่ถูกเรียกว่าเจ้าภาพโกงอย่างอัปยศที่สุดครั้งหนึ่ง
สเปนผ่านรอบแบ่งกลุ่มที่มี สโลวีเนีย, ปารากวัย และ แอฟริกาใต้ ร่วมสายด้วยการเก็บ 9 คะแนนเต็ม ส่วนรอบ 16 ทีมก็สามารถดวลจุดโทษผ่านไอร์แลนด์ไปได้ แต่พอต้องมาเจอหนึ่งในเจ้าภาพร่วมอย่างเกาหลีใต้ในเกมรอบ 8 ทีม กลับกลายเป็นต้องเจอพิษการตัดสินเข้าข้างเจ้าภาพ ทำให้พวกเขาส่งบอลเข้าก้นตาข่ายยังไงก็ไม่ได้ประตูซะที จนเกมเสมอกัน 0-0 ตลอด 120 นาที และแพ้ทีมโสมขาวไปในช่วงดวลจุดโทษ
ยูโร 2004 ที่โปรตุเกส : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
สเปนอยู่ร่วมกลุ่มกับ รัสเซีย, กรีซ และ โปรตุเกส ซึ่ง 2 เกมแรกพวกเขาทำท่าว่าจะเข้ารอบได้สวยๆ แล้ว เมื่อเก็บได้ 4 คะแนนจากการเอาชนะรัสเซีย 1-0 ต่อด้วยเสมอกับกรีซ 1-1 แต่ในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม กลับแพ้ให้เจ้าภาพอย่างโปรตุเกสไป 0-1 ทำให้ตกรอบแรกไปเพราะมีจำนวนประตูได้เป็นรองกรีซที่คว้าอันดับ 2 ของกลุ่มเข้ารอบน็อคเอาท์ไป ก่อนจะทะลุไปคว้าแชมป์ได้แบบเทพนิยาย
ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย : ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
สเปนผ่านรอบแบ่งกลุ่มที่ต้องเจอกับ โปรตุเกส, อิหร่าน และ โมร็อกโก ได้ในฐานะแชมป์กลุ่ม B ที่มีจำนวนประตูได้เหนือกว่าโปรตุเกส 1 ลูก จึงต้องพบกับเจ้าภาพอย่างรัสเซีย ที่เป็นรองแชมป์จากกลุ่ม A ในรอบ 16 ทีม
ซึ่งตลอด 120 นาที แม้สเปนจะครองบอลเหนือกว่ามากแต่ก็หาทางเผด็จศึกเจ้าภาพไม่ได้ โดยทำได้แค่เสมอ 1-1 จนจบช่วงต่อเวลา ก่อนจะแพ้ไปในช่วงดวลจุดโทษ
Picks and Pick'em is here!
More teams, more wins. Join a public league and draft instantly.