การต่อสู้ของคาลาฟิออรี่ กับการเจ็บเข่าที่เกือบทำให้หมดอนาคตในชีวิตนักเตะ

Pipat Sathirawut

July 31, 2024 · 1 min read

การต่อสู้ของคาลาฟิออรี่ กับการเจ็บเข่าที่เกือบทำให้หมดอนาคตในชีวิตนักเตะ
Football | July 31, 2024

ก่อนที่ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ จะได้เปิดตัวเป็นนักเตะใหม่เจ้าของเสื้อเบอร์ 33 ของอาร์เซน่อล หลังจากทำผลงานโดดเด่นกับโบโลญญ่าในศึก กัลโช่ เซเรีย อา ฤดูกาลที่แล้ว และกับทีมชาติอิตาลีในศึกยูโร 2024 ถือว่าในช่วงที่เขายังเป็นแบ็กซ้ายดาวรุ่งของโรม่า ซึ่งเป็นต้นสังกัดสมัยที่เขายังเป็นผู้เล่นระดับอะคาเดมี่ เขาเกือบจะต้องหมดอนาคตในเส้นทางนักฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่แล้ว เพราะเจออาการบาดเจ็บที่รุนแรงมากๆ

 

ย้อนไปในศึก ยูฟ่า ยูธ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2018 ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ซึ่งลงสนามเป็นแบ็กซ้ายตัวจริงให้กับทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปีของโรม่า ได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างหนัก เมื่อโดน วาซลาฟ สโวโบด้า แบ็กขวาของ วิคตอเรีย พัลเซ่น เข้าปะทะใส่อย่างหนักในจังหวะที่คาลาฟิออรี่กำลังรอรับบอล ซึ่งแพทย์ที่ประเมินอาการของคาลาฟิออรี่ตอนนั้น มีความกังวลว่ากองหลังอนาคตไกลอาจถึงขั้นจะเล่นฟุตบอลไม่ได้อีกต่อไปได้เลย

อาการบาดเจ็บในตอนนั้นเกิดขึ้นกับเส้นเอ็นที่สำคัญหลายเส้น โดยเอ็นไขว้หน้า, เอ็นไขว้หลัง และหมอนรองกระดูกที่เข่ามีความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งศัลยแพทย์เผยว่านั่นคือหนึ่งในอาการบาดเจ็บที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับนักเตะอายุน้อย และเป็นอาการบาดเจ็บที่เทียบเท่ากับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เจอกับแรงกระแทกสูงเลยทีเดียว

โดยการผ่าตัดซ่อมแซมหัวเข่าของคาลาฟิออรี่เมื่อ 6 ปีก่อนจำเป็นต้องมีกระบวนการสร้างเส้นเอ็นขึ้นมาใหม่หลายครั้ง และถึงแม้ว่าการผ่าตัดจะประสบความสำเร็จ แต่ศัลยแพทย์ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าคาลาฟิออรี่จะกลับมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพต่อได้หรือไม่ เพราะความรุนแรงของอาการบาดเจ็บอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหว และความแข็งแรงของหัวเข่าของเจ้าตัวอย่างมาก

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายที่นักเตะคนอื่นหลายๆ คนอาจจะถอดใจไปแล้ว แต่ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ไม่เคยยอมแพ้ เขายังมีความหวังว่าอาการบาดเจ็บที่ได้รับสักวันมันจะต้องหายเป็นปกติ และจะทำให้เจ้าตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งกว่าเดิมเสมอ โดยมีการโพสต์เล่าเรื่องราวผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวตลอด ระหว่างกระบวนการรักษา

ในช่วงระหว่างที่กองหลังหนุ่มกำลังฟื้นฟูร่างกาย เขาได้รับกำลังใจจากนักเตะทีมชุดใหญ่ของโรม่ามากมาย โดยหนึ่งในรุ่นพี่ที่ทำให้เขาประทับใจมากๆ ก็คือ เอดิน เชโก้ ที่ชูเสื้อเบอร์ 14 ของคาลาฟิอรี่ในทีมเยาวชนหลังจากที่ทำแฮตทริกได้ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ทีมหมาป่ากรุงโรมเปิดบ้านถล่ม วิคตอเรีย พัลเซ่น 5-0 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่คาลาฟิออรี่เจออุบัติเหตุในสนามอย่างหนักในช่วงกลางวัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเสียดายก็คือช่วงเวลาที่คาลาฟิออรี่ต้องร้างสนามไป ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ลงเล่นให้โรม่าชุดใหญ่พร้อมๆ กับตำนานกองกลางอย่าง ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ที่อำลาทีมไปซะก่อนในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 และนั่นคือหนึ่งในเรื่องน่าเศร้าที่สุดในชีวิตของคาลาฟิออรี่ ที่ไม่สามารถหวนกลับไปย้อนโอกาสคืนได้อีกแล้ว

 

แต่คาลาฟิออรี่ฟื้นร่างกายได้ไว เขาใช้เวลาแค่ประมาณ 11 เดือนเท่านั้น ก็กลับมาลงเล่นให้ทีมเยาวชนของโรม่าได้อีกครั้งในวันที่ 16 กันยายน 2019 โดยได้ออกสตาร์ทเป็นแบ็กซ้ายตัวจริงช่วยให้ทีมเปิดบ้านชนะคิเอโว 6-3  ก่อนจะยิงประตูแรกหลังจากร่างกายกลับมาฟิตสมบูรณ์ได้อีกครั้งในอีกราวๆ 1 เดือนถัดมา ช่วยให้โรม่าชุดยู-19 บุกชนะนาโปลี 2-1 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2019

ในวันที่ 1 สิงหาคม 2020 คาลาฟิออรี่ได้โอกาสลงสนามให้โรม่าชุดใหญ่เป็นครั้งแรกสมใจเสียที โดยได้ออกสตาร์ทตัวจริงตำแหน่งวิงแบ็กซ้ายในระบบ 3-4-2-1 ในเกมที่บุกไปเยือนทีมแชมป์ประจำซีซั่นนั้นอย่างยูเวนตุส ซึ่งคาลาฟิออรี่ช่วยเรียกจุดโทษให้ทีมได้ในช่วงท้ายครึ่งแรก ก่อนที่ ดีเอโก้ เปร็อตติ จะสังหารไม่พลาดพาทีมแซงนำ และเกมแรกที่คาลาฟิออรี่ได้เดบิวต์ให้ทีมหมาป่ากรุงโรมชุดใหญ่ จบลงด้วยชัยชนะของโรม่าที่ตูริน 3-1

ถึงแม้ช่วงหลังจากนั้น คาลาฟิออรี่จะมีปัญหาบาดเจ็บที่เอ็นหัวเข่าให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จนต้องมีช่วงร้างสนามไปนาน 1 เดือนถึง 3 ช่วงจนส่งผลให้โอกาสได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของโรม่าไม่ต่อเนื่อง แต่ก็ถือว่าเจ้าตัวได้ผ่านพ้นอาการบาดเจ็บที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ที่เกือบทำให้เขาต้องแขวนสตั๊ดไปได้แล้ว

ซึ่งหลังจากที่เขาไม่สามารถแจ้งเกิดกับโรม่าได้สำเร็จ และแทบไม่มีโอกาสลงเล่นเมื่อถูกส่งไปให้เจนัวยืมใช้งานในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2021-22 แต่การย้ายไปเล่นกับ เอฟซี บาเซิ่ล ที่สวิตเซอร์แลนด์ ในซีซั่น 2022-23 ซึ่งทำให้เจ้าตัวค่อยๆ เปลี่ยนตำแหน่งจากแบ็กซ้ายกลายเป็นเซนเตอร์แบ็ก กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตนักเตะของคาลาฟิออรี่ ให้เป็นผู้เล่นที่ดีขึ้น ก่อนได้โอกาสกลับสู่ กัลโช่ เซเรีย อา อีกครั้ง เมื่อเซ็นสัญญากับโบโลญญ่า ซึ่งการได้เล่นให้ ติอาโก้ ม็อตต้า นี่เอง ทำให้เขาพัฒนาตัวเองกลายเป็นเซนเตอร์ระดับท็อปอย่างรวดเร็ว จนมีชื่อติดทีมชาติอิตาลีลุยศึกยูโร 2024 และมีผลงานที่โดดเด่นจนเปิดทางให้ได้เซ็นสัญญากับอาร์เซน่อล ซึ่งเป็นสโมสรที่เจ้าตัวใฝ่ฝันมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นในที่สุด

 

เรื่องราวของ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนที่กำลังเจออุปสรรคระดับที่เกือบทำให้ชีวิตหมดหวังได้เป็นอย่างดี ว่าถ้าหากความหวังยังไม่หมด โอกาสจะพลิกชีวิตกลับมาให้แข็งแกร่งกว่าเดิมก็ยังมีอยู่เสมอ