โอลิมปิกแบบใด? : เมื่อฟุตบอลอังกฤษจับตัวจี๊ดมาวิ่งแข่งกัน แต่ผู้ชนะกลับเป็นนักเตะเมาค้าง

Maruak Tanniyom

August 09, 2024 · 2 min read

โอลิมปิกแบบใด? : เมื่อฟุตบอลอังกฤษจับตัวจี๊ดมาวิ่งแข่งกัน แต่ผู้ชนะกลับเป็นนักเตะเมาค้าง
Premier League | August 09, 2024

วิ่งระยะสั้นชาย ไม่ว่าจะเป็น 100 เมตร หรือ 200 เมตรถือเป็นกีฬาประเภทลู่ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในโอลิมปิก เพราะมันคือการวัดกันว่าใครคือคนที่เร็วที่สุดในโลกในระยะดังกล่าว

และสำหรับ ปารีส 2024 ผู้ชายที่เร็วที่สุดตกเป็นของ โนอาห์ ไลลส์ จากสหรัฐอเมริกา ขณะที่ 200 เมตรชาย ที่ได้ผู้ชนะไปเมื่อคืนที่ผ่านมา คือเล็ตไซน์ เตโบโก จาก บอสซาวานา ที่ทำให้เขากลายเป็นนักกีฬาคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าเหรียญทองให้ประเทศได้อีกด้วย

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่โอลิมปิกเท่านั้นที่แข่งกันว่าใครเร็วที่สุด แต่ครั้งหนึ่งฟุตบอลอังกฤษ ก็เคยจับเหล่าตัวจี๊ดของแต่ละสโมสรมาวัดความเร็ว เพื่อหานักฟุตบอลที่้เร็วที่สุดของประเทศ

แต่จากที่ควรจะดุเดือดเผ็ดมัน กลายเป็นความฮา เมื่อผู้ชนะกลับเป็นนักเตะที่เมาค้าง เรื่องราวเป็นอย่างไร ติดตามไปพร้อมกัน

สำหรับทัวร์นาเมนต์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้นี้ อาจจะต้องย้อนกลับไปในปี 1992 หรือหนึ่งปีก่อนที่ดิวิชั่น 1 อังกฤษ จะรีแบรนด์เป็นพรีเมียร์ลีก เมื่อฟุตบอลแดนผู้ดี ได้จัดการวิ่งแข่งของเหล่านักฟุตบอลขึ้นในฐานะโชว์พิเศษ หรือ ไซด์โชว์

มันเป็นเหมือนการแข่งขันเรียกน้ำย่อย ก่อนเกมนัดสำคัญ ซึ่งมีมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้กับแก่ผู้ชมทางโทรทัศน์ โดยก่อนหน้านี้เคยมีตั้งแต่จับนักฟุตบอล มาปั่นจักรยาน ไปจนถึงดวลสนุกเกอร์

เช่นกันกับในปี 1992 ที่เป็นศึกชิงเจ้าความเร็ว ในระยะ 100 หลา (91.44 เมตร) ที่จัดโดย Saint and Greavsie รายการฟุตบอลชื่อดังทางช่อง ITV ที่ดำเนินรายการโดย เอียน เซนต์ จอห์น และ จิมมี กรีฟส์ อดีตแข้งดัง โดยมี Rumbelows ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เป็นสปอนเซอร์ของฟุตบอลลีกคัพเป็นผู้สนับสนุน

สำหรับ ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมคือทุกสโมสรตั้งแต่ดิวิชั่น 1-4 ที่ให้แต่ละทีมส่งนักเตะที่คิดว่าเร็วที่สุดทีมละ 1 คนมาแข่ง โดยนักเตะทุกคนจะต้องวิ่งในชุดนักฟุตบอลแบบเต็มยศ ทั้งสวมชุดแข่งละรองเท้าสตั๊ด

การแข่งขันจะแข่งกันตั้งแต่รอบภูมิภาค แล้วค่อยเอาแชมป์และรองแชมป์ของทั้ง 8 ภูมิภาค ไปแข่งรอบรองชนะเลิศ เพื่อตัดตัวหา 8 คนสุดท้ายไปวัดกันที่สนามเวมบลีย์ ก่อนนัดชิงชนะเลิศลีกคัพ

แม้ว่ามันจะดูเป็นการแข่งขันที่เน้นสร้างความบันเทิง แต่ด้วยเงินรางวัลที่สูงถึง 10,000 ปอนด์ (ราว 450,000 บาท) ทำให้นักเตะหลายคนหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเอาแชมป์ให้ได้

“มันเป็นเรื่องแปลกมากที่ต้องวิ่งแข่งกับนักฟุตบอลคนอื่น แต่บอกได้เลยว่าทุกคนจริงจังมาก” เควิน บาร์ทเล็ตต์ ตัวแทนจาก น็อตต์ เคาท์ตี กล่าวกับ FourFourTwo

“Rumbelows ให้เงินรางวัล 10,000 ปอนด์ (ราว 430,000 บาท) ดังนั้นทุกคนจึงอยากจะได้มัน และทุกคนก็ฝันที่จะได้ไปเวมบลีย์ เพื่อคว้ารางวัลราชานักเตะที่วิ่งเร็วที่สุด”

สำหรับ บาร์ทเล็ตต์ เขาเป็นหนึ่งในตัวเก็งของการแข่งขัน ด้วยอัตราต่อรอง 3-1 (แทง 1 จ่าย 3 ไม่รวมทุน) หลังทำเวลาได้ดีที่สุดในรอบคัดเลือก ด้วยเวลา 11.40 วินาที

“เขาเป็นเหมือน เบน จอห์นสัน ที่ไม่ต้องใช้ยา เขาตัวเล็กและทรงพลัง และเวลาของเขาก็สุดยอดมาก” จอห์น วิลเลียมส์ ตัวแทนจาก สวอนซี ซิตี้ อธิบาย

เมื่อวันแข่งจริง บาร์ทเล็ต และ วิลเลียมส์ ก็ปรากฏตัวในชุดของ น็อตต์ เคาท์ตี และ สวอนซี ตามลำดับ ร่วมกับ ไมเคิล กิลส์ (เรดดิง), โทนี วิตเตอร์ (ควีนส์ปาร์ก เรนเจอร์ส), เลห์ เจนกินสัน (ฮัลล์ ซิตี้), อาเดรียน ลิตเติลจอห์น (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด), อีฟาน เอโคคู (บอร์นมัธ) และ พอล เฟลมมิง (แมนส์ฟิลด์)

“เซนต์ กับ กรีฟซี่ (เซนต์ จอห์น กับ กรีฟส์ เจ้าของไอเดียการแข่ง) ให้อัตราต่อรอง 3-1 กับบาร์ทเล็ตต์” แมคคริลิค ผู้บรรยายในวันนั้นกล่าว

“ดูดีเลยกับการเป็นตัวเต็ง รอบคัดเลือกเขาแค่วิ่งชิล ๆ ด้วยซ้ำ” พอล ออสติน ผู้บรรยายอีกคนเสริม

ทว่า มันกลับไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อที่จริง บาร์ทเล็ตต์ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แถมยังออกตัวช้า ทำให้เขาทำได้เพียงแค่อันดับ 2 และเป็น วิลเลียมส์ ที่เป็นผู้ชนะไปด้วยด้วยสถิติ 11.49 วินาที

อย่างไรก็ดี การบอกว่า บาร์เล็ต ไม่ฟิตก็เป็นการแก้ตัวเกินไป เพราะผู้ชนะอย่าง วิลเลียมส์ นั้นอยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่า เนื่องจากหนึ่งคืนก่อนแข่ง เขาออกไปฉลองวันเกิดให้ จอน ฟอร์ด เพื่อนที่มาด้วยกัน อย่างเต็มคราบจนภาพตัด และเกือบมาแข่งไม่ทันด้วยซ้ำ

“เมนูคืนนั้นเป็นสเต็กกับมันฝรั่งทอด และเพราะว่าเป็นวันเกิดของจอน (ฟอร์ด) ผมเลยพูดว่า ‘เอาเลย มาฉลองกันสักไพน์สองไพน์ (เบียร์)” วิลเลียมส์ย้อนความหลังกับ FFT

“จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม และกลายเป็นสี่ ตามมาด้วยแชมเปญ หลังจากนั้นก็เป็นเหล้า เมาจนแขนขาสไม่มีแรง ผมคิดว่าผมกลับมาถึงห้องตอนตี 3 และอ้วกแตกอ้วกแตน รู้ตัวอีกทีผมก็ตื่นมาในอ่างอาบน้ำ”

“จอนฉีดผมด้วยน้ำเย็นที่หน้า มันเป็นเหมือนคลื่นไฟฟ้า และทำให้ผมเป็นคลั่ง ผมไล่ต่อยเขา จากนั้นจึงคิดได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตะโกนใส่ผมว่า ‘เฮ้ย ! เราสายแล้ว'”

ทั้งนี้ กุญแจสำคัญที่ทำให้วิลเลียมส์ กลายเป็นผู้ชนะทั้งที่เมาค้าง ก็น่าจะเป็นการลงแข่งแบบไร้ความกดดัน ที่ทำให้เขาแค่วิ่งอย่างเต็มที่ และมันก็ดีพอที่จะทำให้เขาเป็นนักเตะที่เร็วที่สุดในอังกฤษ

“ที่จุดสตาร์ท ผมรู้สึกผ่อนคลายมาก เพราะมีหลายคนที่เป็นตัวเก็งกว่าผม ผมเป็นแค่ม้านอกสายตา ทุกอย่างก็ดูบ้าคลั่งหน่อย มีคน 75,000 คนอยู่ที่นั่น และแฟน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ก็ดูสนุกกับสิ่งนี้” วิลเลียมส์อธิบาย

ทว่า นั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่คนอังกฤษได้เห็นการแข่งขันในลักษณะนี้ เมื่อไม่นานหลังจากนั้น Rumbelows ก็ถึงคราวล้มละลาย หลังหมดสัญญากับลีกคัพไม่นาน ส่วนรายการ Saint and Greavsie ก็ถูกยุบไป หลัง ITV เสียสิขสิทธิ์ลีกคัพให้ Sky Sports

ก่อนที่มันจะทำให้ วิลเลียมส์ ยังคงได้รับชื่อว่าเป็นนักฟุตบอลที่เร็วที่สุดของแดนผู้ดี จนถึงทุกวันนี้

“เราแต่ละคนได้เงินชดเชยเป็นค่าเดินทางและทีวีจาก Rumbelows นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาล้มละลาย ผมไม่คิดว่าผมจะได้เงิน แต่ขอบคุณมากผมทำได้ มันสนุกที่ผมสามารถพูดได้ว่าผมคือผู้เล่นที่เร็วที่สุด” วิลเลียมส์ทิ้งท้าย