ก่อนดวลลิเวอร์พูล : ย้อนเหตุการณ์ “อิปสวิช ทาวน์” จากดาวรุ่งสู่ดาวร่วงในเวลาไม่กี่ปี

Maruak Tanniyom

August 16, 2024 · 2 min read

ก่อนดวลลิเวอร์พูล : ย้อนเหตุการณ์ “อิปสวิช ทาวน์” จากดาวรุ่งสู่ดาวร่วงในเวลาไม่กี่ปี
Football | August 16, 2024

อิปสวิช ทาวน์ กำลังจะประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี ด้วยการเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล ในช่วงเย็นของวันเสาร์นี้

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทีมน้องใหม่ แต่อันที่จริงหากย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นทศวรรษที่ 2000s “ม้าขาว” เคยเป็นหนึ่งในทีมดาวรุ่งที่น่าจับตามอง และประกาศศักดาในฟุตบอลยุโรปมาแล้ว

ทว่า ไฟที่ลุกโชนของ อิปสวิช กลับมอดดับในเวลาเพียงไม่กี่ปี ซ้ำร้ายพวกเขายังร่วงลงไปเล่นในในลีกระดับ 3 ของอังกฤษ อยู่นานหลายปี

เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น? ติดตามไปพร้อมกัน

แม้ว่า อิปสวิช ทาวน์ จะเคยเป็นทีมที่เคยยิ่งใหญ่มาก่อนในอดีต ทั้งแชมป์ดิวิชั่น 1 ในช่วงทศววรษที่ 1960s หรือแชมป์ยูฟ่าคัพ ในฤดูกาล 1980-1981 แต่การกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2000-2001 ก็ถูกหมายหัวว่าน่าจะไปไม่รอดในลีกที่เต็มไปด้วย เสือ สิงห์ กระทิง แรด แห่งนี้

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเองไม่ได้เป็นทีมเงินถุงเงินถัง ทำให้ อิปสวิช จำเป็นดันดาวรุ่งขึ้นมาเป็นแกนหลัก แถมหลายคนเมื่อทำผลงานได้ดี ก็มักจะถูกทีมใหญ่ฉกตัวไปอยู่เสมอ

“เราไม่มีนายทุนมาอุปถัมป์เลย ดังนั้นทุกปีเราต้องขายนักเตะเพื่อหาเงินทุนให้สโมสร และทำบัญชีให้มีความสมดุล จากนั้นเราค่อยเริ่มใหม่อีกครั้ง” จอร์จ เบอร์ลีย์ กุนซือของ อิปสวิช ในช่วงเวลานั้นกล่าวกับ Planet Football

“ผมพูดอยู่เสมอว่าหนึ่งในส่วนสำคัญสำหรับงานของผมคือความสนุกในการเอาผู้เล่นดาวรุ่งเข้ามา ดังนั้นมันจึงเป็นกุญแจสำคัญมาก”

“เราดึงนักเตะดาวรุ่งเข้ามามากมาย ทั้ง ริชาร์ด ไรท์, ไตตัส บรัมเบิล, คีรอน ดายเออร์, ดาเรน เบนท์, ดาร์เรน อัมโบรส, เจมส์ สคาวครอฟท์ ทั้งหมดอายุเพียง 17 ปี และเมื่อเข้ามาอยู่ในทีม พวกเขาก็เล่นได้เลย ฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่า”

พวกเขาประเดิมพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2000-2001 ได้อย่างย่ำแย่เก็บได้เพียง 4 คะแนนจาก 5 นัดแรก แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะยันเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างน่าประทับใจก็ตาม

แต่จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในเกมที่ 6 เมื่อ อิปสวิช บุกไปคว้าชัยเหนือ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ได้ถึง เอลแลนด์ โรด 1-2 พร้อมกับปลุกความมั่นใจของตัวเองกลับมา

เพราะนับตั้งแต่นั้นจนถึงช่วงปีใหม่ พวกเขาเผชิญกับความพ่ายแพ้เพียงแค่ 3 เกม แถมยังคว้าชัยเหนือ ลิเวอร์พูล ที่คว้า 3 แชมป์เมื่อฤดูกาลก่อน รวมถึงน็อค อาร์เซนอล รองแชมป์พรีเมียร์ลีกในฟุตบอลลีกคัพ จนเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในถ้วยใบนี้

นอกจากนี้ อิปสวิช ยังสร้างปรากฎการณ์ขึ้นไปรั้งอันดับ 3 ของตารางอยู่ถึง 2 เดือนเต็ม ก่อนจะจบในอันดับ 5 กลายเป็นทีมน้องใหม่ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1994-1995 ที่น็อตติงแฮม ฟอร์เรสต์ เคยทำได้ (อันดับ 3)

“เราอยู่อันดับ 3 อยู่นานทีเดียวในฤดูกาลนั้น และจบด้วยอันดับ 5 ซึ่งไม่ดีไม่แย่ แต่การจบอันดับ 5 สำหรับสโมสรเล็กๆ ที่มีผู้เล่นเข้ามาเสริมทีมแค่ 1-2 คน ก็เป็นฤดูกาลที่พวกเขาต้องพยายามต่อไป” เบอร์ลีย์ ย้อนความหลัง

“มาร์คัส สจ๊วต ยิงไป 19 ประตูในฤดูกาลนั้น ซึ่งเหลือเชื่อมาก และ ไตตัส บรัมเบิล ก็มหัศจรรย์ เรายังคงทำสิ่งเดิม พัฒนาผู้เล่นดาวรุ่งและนำนักเตะใหม่เข้ามา”

“ก่อนเปิดฤดูกาล ผมคิดว่าเราคงจะจบอันดับ 4 จากท้ายตาราง มันจึงเป็นฤดูกาลที่มหัศจรรย์มาก การจบอันดับ 5 จึงเป็นสิ่งเหลือเชื่อสำหรับนักเตะและตัวผมเอง มันเป็นอะไรที่เราไม่คิดว่าจะฝันถึง”

การจบอันดับ 5 ไม่เพียงทำให้ อิปสวิช จารึกอันดับสูงสุดตลอดกาลในพรีเมียร์ลีกของสโมสรเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็กอย่าง ยูฟ่า คัพ (ยูโรปาลีกในปัจจุบัน) อีกด้วย

การได้ไปเล่นในยุโรป ทำให้ อิปสวิช เดินหน้าเสริมทีมอย่างหนัก ด้วยการคว้าผู้เล่นใหม่มาร่วมทัพถึง 8 คน ที่มีค่าตัวรวมกันกว่า 11 ล้านปอนด์ สวนทางกับการต้องเสียตัวหลักอย่าง ริชาร์ด ไรท์ และ เจมส์ สคาวครอฟท์ ให้ อาร์เซนอล และเลสเตอร์ ตามลำดับ

และเค้าลางแห่งหายนะก็เกิดขึ้น เมื่อ 17 นัดแรก อิปสวิช คว้าชัยได้เพียงแค่เกมเดียว ขณะที่แข้งใหม่ทั้ง ฟินิดี จอร์จ, มาร์คัส เบนท์, มัตเตโอ เซเรนี ก็ไม่มีใครเล่นได้คุ้มค่าตัวเลย

“หากลองมองในฐานะผู้จัดการทีม คุณจะคิดว่าเราต้องการผู้เล่นมากกว่านี้ เราจำเป็นต้องดึงผู้เล่นเข้ามาที่นี่ บวกกับการเสียริชาร์ด ไรท์ ผู้รักษาประตูฝีมือดี ที่ติดทีมชาติอังกฤษไปให้อาร์เซนอล” เบอร์ลีย์กล่าว

“เมื่อคุณเสียผู้เล่นไป กระบวนการสร้างทีมที่ใช้เวลามา 5-6 ปีจึงชะงัก เพราะว่าคุณดึงนักเตะเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพื่อพยายามแก้ไขสิ่งที่คุณมี และทีมก็ใหญ่ขึ้น”

“นั้นอาจจะเป็นความผิดพลาดที่ผมได้ทำ ใช้เวลา 5-6 ปีสร้างทีม แล้วจากนั้นก็รื้อมัน”

อันที่จริง ในฤดูกาลดังกล่าว แฟนบอลของม้าขาว อาจจะมีเรื่องให้ยินดีอยู่บ้าง เมื่อทีมรักของพวกเขา ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในยูฟ่าคัพ จนเข้าไปถึงรอบ 32 ทีมสุดท้าย แถมยังสามารถยัดเยียดความปราชัยให้ อินเตอร์ มิลาน ในเลกแรกได้อีกด้วย

แต่มันก็เป็นเหมือนดาบสองคม เพราะการไปเล่นในฟุตบอลยุโรป ทำให้พวกเขาต้องใช้ทรัพยากรไปกับเกมกลางสัปดาห์ และทำให้ผลงานของทีมตกลงแบบกู่ไม่กลับ ก่อนจะจบฤดูกาลด้วยการคว้าชัยได้เพียงแค่ 7 เกม รั้งอันดับ 18 ร่วงตกชั้นไปอย่างชอกช้ำ

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับการทำผลงานได้ดีในลีกก็คือเกมฟุตบอลยุโรป โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่ได้เป็นสโมสรที่คุ้นเคยกับสิ่งนี้” เบอร์ลีย์ อธิบาย

“และแน่นอนว่าเราคงจะเล่นได้เต็มแบบเต็มสูบไปแล้วในปีก่อนหน้านั้น”

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นความทนงจำที่สวยงามของพวกเขา กับการที่สโมสรเล็กๆ สามารถไปเฉิดฉายในเวทียุโรปได้ถึง 2 ครั้ง หลังจากทำได้อีกครั้งในฤดูกาลดังกล่าวจากโควต้าแฟร์เพลย์

“มันไม่ง่าย แต่ฟุตบอลยุโรปก็เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ และแม้กระทั่งอิปสวิชในตอนนี้ ผู้คนก็ยังมาหาผมและพูดว่า ‘จำเกมยุโรปที่เราเคยไปกันได้ไหม?’ มันเป็นเหมือนกับวันดี ๆ ในอดีต”

หลังจากนั้น อิปสวิช ก็เลี่ยนสถานะกลายเป็นทีมลีกล่างของอังกฤษ แถมยังเคยร่วงลงไปเล่นในลีกระดับ 3 หรือลีกวันอยู่ถึง 4 ปี ก่อนจะสร้างเซอร์ไพรส์ ขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาลนี้

ก็ต้องมารอดูว่าการขึ้นมาเล่นในลีกสุดสุดของทัพม้าขาวหนนี้ พวกเขาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน ? จะหนีตกชั้น อยู่กลางตาราง หรือสร้างปรากฎการณ์ได้เหมือน 2 ทศวรรษก่อน ? บางทีเกมวันเสาร์กับลิเวอร์พูลที่จะถึงนี้ อาจจะพอได้รู้คำตอบ