เมื่อผีแดงขาดเบอร์ 9 ไว้ใจได้นานหลายปี ก่อนส่งมอบให้ฮอยลุนด์

Pipat Sathirawut

July 25, 2024 · 4 min read

เมื่อผีแดงขาดเบอร์ 9 ไว้ใจได้นานหลายปี ก่อนส่งมอบให้ฮอยลุนด์
Football | July 25, 2024

เสื้อหมายเลข 9 คือสัญลักษณ์ของตำแหน่งศูนย์หน้าตัวความหวังทำประตูในเกมฟุตบอล แต่เชื่อหรือไม่ว่าครั้งสุดท้ายที่ทีมดังอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประตูจากนักเตะเจ้าของเสื้อเบอร์ 9 ถึง 20 ประตูในลีกสูงสุดอังกฤษ 1 ซีซั่น ต้องย้อนไปไกลถึงฤดูกาล 2010-11 ที่ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ครองตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกร่วมกับ คาร์ลอส เตเวซ ในเครื่องแบบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เลยทีเดียว

ในวันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2024 แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศยืนยันว่าเสื้อเบอร์ 9 จะมีการเปลี่ยนเจ้าของอีกครั้ง และในซีซั่น 2024-25 ที่กำลังจะมาถึงนี้ มันจะถูกสวมใส่โดย ราสมุส ฮอยลุนด์ กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติเดนมาร์ก ที่จะค้าแข้งในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป็นฤดูกาลที่ 2 หลังจากซีซั่นก่อนทำผลงานยิงไป 16 ประตูรวมทุกรายการ โดยยิงในพรีเมียร์ลีกได้ 10 ลูกด้วยการสวมหมายเลข 11

 

เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน คือหมายเลข 9 ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

ย้อนตำนานเบอร์ 9 ปีศาจแดง

นักเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 9 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คือตำนานผู้ล่วงลับอย่าง เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ซึ่งเป็นเจ้าของเบอร์ดังกล่าวระหว่างปี 1963-1973 และอดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษสามารถทำประตูให้ทีมปีศาจแดงด้วยเสื้อเบอร์นี้ได้มากกว่า 130 ประตูรวมทุกรายการ แต่ในสมัยอดีต ยังไม่มีการกำหนดเบอร์เสื้อตายตัวเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะในสมัยก่อน นักเตะที่ได้ออกสตาร์ทตัวจริงมักจะสวมเสื้อหมายเลข 1-11 เป็นหลัก

จนกระทั่ง ฤดูกาล 1993-94 คือฤดูกาลแรกที่พรีเมียร์ลีกให้แต่ละทีมกำหนดชื่อสกุลของผู้เล่นไว้บนหลังเสื้อ ทำให้นักเตะแต่ละคนมีหมายเลขประจำตัวในการลงเล่นเกมอย่างเป็นทางการให้สโมสรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเจ้าของเสื้อเบอร์ 9 คนแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคของพรีเมียร์ลีกก็คือ ไบรอัน แม็คแคลร์ แต่กว่าที่อดีตดาวเตะทีมชาติสกอตแลนด์จะได้ใส่เสื้อเบอร์ 9 ที่มีชื่อสกุลตนเองอยู่ด้านหลัง ก็เป็นช่วงที่สภาพร่างกายโรยรา และค่อยๆ ปรับบทบาทไปเล่นเป็นมิดฟิลด์ซะแล้ว ทำให้เขาไม่ได้รับการจดจำว่าเป็นตำนานดาวยิงเจ้าของเสื้อเบอร์ 9 ในโรงละครแห่งความฝันมากเท่ากับรุ่นน้องที่มาทีหลัง

นักเตะที่ทำประตูให้ แมนฯ ยูไนเต็ด จากการสวมเสื้อเบอร์ 9 ในยุคของพรีเมียร์ลีกมากที่สุดก็คือ แอนดี้ โคล ที่ได้เป็นเจ้าของเบอร์ดังกล่าวตั้งแต่ฤดูกาล 1996-97 จนกระทั่งย้ายไปอยู่กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในเดือนธันวาคม 2001 ซึ่ง “คิงโคล” ถือเป็นกำลังสำคัญของทีมชุดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในฤดูกาล 1998-99 โดยยิงไปถึง 24 ประตูรวมทุกรายการ ก่อนจะช่วยให้ผีแดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีก 2 ฤดูกาลติดต่อกัน ในซีซั่น 1999-2000 ที่ซัดในลีกไป 19 ลูก และซีซั่น 2000-01 ที่ยิงในพรีเมียร์ลีกได้ 9 ประตู

หลังจากที่ แอนดี้ โคล ย้ายออกไป เสื้อเบอร์ 9 ไม่มีใครเป็นเจ้าของนานกว่า 2 ปีเต็ม จนกระทั่ง หลุยส์ ซาฮา ย้ายมาจากฟูแล่มในเดือนมกราคม 2004 แต่ว่าหัวหอกชาวฝรั่งเศสก็ยังไม่ใช่หัวหอกระดับเครื่องจักรผลิตประตู แถมยังมีปัญหาบาดเจ็บบ่อย ทำให้ซาฮายิงได้แค่ 42 ประตูเท่านั้น จากการลงเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 124 นัดรวมทุกรายการ โดยไม่เคยมีฤดูกาลไหนที่ยิงให้ทีมปีศาจแดงในพรีเมียร์ลีกได้ถึง 10 ประตูเลย

คนที่เข้ามาสานต่อเบอร์ 9 ต่อจากซาฮาก็คือ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ตำนานหัวหอกทีมชาติบัลแกเรีย ซึ่งมีสถิติการทำประตูที่ไม่เลวในช่วงที่เล่นในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ระหว่างปี 2008 จนถึง 2012 เมื่อซัดไป 56 ประตูจาก 149 นัดรวมทุกถ้วย โดยฤดูกาลที่โดดเด่นที่สุดก็คือซีซั่น 2010-11 ที่ยิงในพรีเมียร์ลีกไป 20 ประตู โดยมีเกมเด่นๆ อย่างการทำแฮตทริกใส่ลิเวอร์พูล, เหมาคนเดียว 5 ประตูใส่ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และซัดแฮตทริกได้อีกในเกมพบเบอร์มิงแฮม จนครองตำแหน่งดาวซัลโวร่วมกับ คาร์ลอส เตเวซ ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

แต่เบอร์บาตอฟได้รับการจดจำในฐานะนักเตะเจ้าเทคนิคมากกว่าจะเป็นดาวถล่มประตู เขาคือผู้เล่นเจ้าของเสื้อเบอร์ 9 คนสุดท้ายในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก่อนที่ช่วงหลังจากนั้น เสื้อหมายเลขนี้ถูกสลับสับเปลี่ยนเจ้าของไปอีก 6 คนด้วยกัน

 

ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ คือหมายเลข 9 คนสุดท้ายของทีมปีศาจแดง ที่ยิงได้ถึง 20 ประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลเดียว

 

กว่า 1 ทศวรรษที่แข้งเบอร์ 9 ผีแดงไร้แชมป์พรีเมียร์ลีก

นักเตะคนแรกที่ได้สวมเสื้อหมายเลข 9 ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคที่ป๋าเฟอร์กี้สละบัลลังก์ผู้จัดการทีมไปคือ ราดาเมล ฟัลเกา ที่สโมสรเซ็นสัญญายืมตัวเข้ามาในฤดูกาล 2014-15 ด้วยค่ายืมมูลค่า 6 ล้านปอนด์ แถมมีออปชั่นซื้อขาดอีก 43.5 ล้านปอนด์ ซึ่งด้วยชื่อเสียงของดาวยิงทีมชาติโคลอมเบีย ที่เคยฝากผลงานยิงไปถึง 70 ประตูจาก 91 นัดสมัยเล่นให้ แอตเลติโก มาดริด จนถูกยกย่องให้เป็นกองหน้าตัวท็อปของโลก ทำให้แฟนผีแดงรู้สึกตื่นเต้นว่าสโมสรมีหัวหอกระดับเวิลด์คลาสไว้ในครอบครองเสียที

แต่กลายเป็นว่าช่วงเวลาของฟัลเกาในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ภายใต้การคุมทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล นั้นคือช่วงเวลาที่ล้มเหลว เขามีปัญหาบาดเจ็บบ่อยครั้ง แถมสภาพร่างกายก็ดูจะไม่พร้อมสำหรับลีกอังกฤษ จนยิงให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แค่ 4 ประตูเท่านั้น และแน่นอนว่าทีมปีศาจแดงไม่คิดจะใช้ออปชั่นซื้อขาด

จากนั้นในฤดูกาล 2015-16  แมนฯ ยูไนเต็ด เซ็นสัญญากับกองหน้าที่แทบไม่มีใครรู้จักมาก่อนอย่าง อองโตนี่ มาร์กซิยาล มาจากโมนาโกด้วยค่าตัวเบื้องต้นสูงถึง 36 ล้านปอนด์ และมอบเสื้อเบอร์ 9 ให้ทันที ซึ่งดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสเปิดตัวในโรงละครแห่งความฝันได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยการลงมาเป็นตัวสำรองในเกมแดงเดือดนัดที่ชนะลิเวอร์พูล 3-1 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2015 แล้วแตะหลบ มาร์ติน สเคอร์เทล เข้าไปซัดผ่าน ซิมง มิโญเล่ต์ อย่างเหนือชั้น แถมยังยิงประตูสำคัญให้ทีมได้หลายลูกในซีซั่น 2015-16 ที่ช่วยทีมไปถึงแชมป์ เอฟเอ คัพ

แต่การเซ็นสัญญากับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในปี 2016 ต่อด้วย โรเมลู ลูกากู ในปี 2017 ทำให้มาร์กซิยาลที่ไม่ใช่กองหน้าในสไตล์หัวหอกจ๋าต้องยอมสละเสื้อเบอร์ 9 ให้กับดาวยิงที่มีชื่อเสียงมากกว่า โดยซลาตันทำผลงานเป็นกองหน้าตัวแบก ซัดไปถึง 28 ประตูรวมทุกรายการ และ 17 ลูกในพรีเมียร์ลีกซีซั่น 2016-17 ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่อดีตตำนานดาวยิงทีมชาติสวีเดนมีปัญหาเจ็บเข่าอย่างหนักจนพลาดลงเล่นช่วงท้ายซีซั่น และไม่สามารถกลับมาเล่นด้วยสภาพร่างกายดีเหมือนเดิมได้อีก ไม่อย่างนั้นซลาตันน่าจะมีผลงานการทำประตูให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มากกว่านี้ไม่ยาก

สำหรับในรายของ โรเมลู ลูกากู  อาจจะมีสถิติทำประตูที่ไม่เลว เขายิงได้ 27 ประตูในฤดูกาล 2017-18 หลังย้ายจากเอฟเวอร์ตันด้วยค่าตัวสูงถึง 75 ล้านปอนด์ แต่พอเข้าสู่ซีซั่น 2018-19 ฟอร์มการเล่นก็ตกลง เขาพลาดโอกาสจะแจ้งที่ควรจะทำประตูได้บ่อยครั้งเกินไป แถมน้ำหนักตัวก็มากขึ้นจนการเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงชัดเจน ทำให้เมื่อ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแทน โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ไม่คิดจะใช้กองหน้าทีมชาติเบลเยียมเป็นตัวหลักอีก เพราะกุนซือชาวนอร์เวย์ชอบตัวรุกที่มีความเร็วมากกว่า และสุดท้ายก็ต้องขายลูกากูออกไปให้ อินเตอร์ มิลาน ในช่วงซัมเมอร์ปี 2019

 

คืนเบอร์ 9 ให้มาร์กซิยาล แล้วท่าดีทีเหลว

อองโตนี่ มาร์กซิยาล ได้เสื้อหมายเลข 9 กลับคืนอีกครั้งในรอบ 3 ปี หลังจากที่ โรเมลู ลูกากู ย้ายออกจากทีมไปแล้ว ซึ่ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ พยายามอย่างมากที่จะผลักดันให้มาร์กซิยาลคือศูนย์หน้าตัวหลักของเขาให้ได้ และถือว่าซีซั่น 2019-20 ก็ทำผลงานได้น่าพอใจ ด้วยการยิงไป 23 ประตูรวมทุกรายการ โดยแบ่งเป็น 17 ประตูในพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีการยิงใส่ทีมใหญ่ๆ ทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ได้ทั้งไปและกลับ แถมซัดแฮตทริกได้ด้วยในเกมเปิดบ้านชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 3-0

แต่พอเข้าสู่ฤดูกาล 2020-21 มาร์กซิยาลมีปัญหาฟอร์มตกอย่างหนัก จนยิงในพรีเมียร์ลีกได้แค่ 4 ลูก และยิงรวมทุกถ้วยแค่ 7 ประตู ซึ่งส่วนสำคัญเป็นเพราะ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มักฝืนใช้งานเขาลงสนามทั้งที่สภาพร่างกายไม่เต็มร้อยในช่วงครึ่งซีซั่นแรก จนมีปัญหาบาดเจ็บอย่างหนักในช่วงท้ายฤดูกาล ซึ่งในช่วงเวลานั้น เอดินสัน คาวานี่ กลายเป็นศูนย์หน้าตัวหลักแทน ส่วน เมสัน กรีนวู้ด กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ทำผลงานกันได้ดีทั้งคู่ด้วย

ในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 สโมสรเซ็นสัญญาคว้าตัวแนวรุกดาวดังเข้ามาเพิ่มถึง 2 คนคือ เจดอน ซานโช่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ขณะที่ เมสัน กรีนวู้ด ก็ยังคงเป็นกำลังสำคัญ ทำให้มาร์กซิยาลกลายเป็นตัวเลือกในแนวรุกลำดับท้ายๆ จนภาษากายในแต่ละนัดที่ลงเล่น บ่งบอกว่าเขาหมดแพชชั่นกับทีม และต้องถูกส่งให้เซบีย่ายืมตัวใช้งานในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง แต่ก็ทำผลงานได้ย่ำแย่ ยิงแค่ 1 ประตูจาก 12 นัดรวมทุกรายการ เซบีย่าจึงไม่คิดจะซื้อขาด

จากนั้นเมื่อ เอริค เทน ฮาก เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในปี 2022 เขาวางตัวมาร์กซิยาลเป็นกองหน้าคนสำคัญในช่วงปรีซีซั่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสโมสรขาดแคลนตัวเลือกในแดนหน้าอย่างหนัก เพราะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปฏิเสธการเข้าร่วมปรีซีซั่น แถมต้องการย้ายออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์ปีนั้นด้วย แล้วมาร์กซิยาลระเบิดฟอร์มดีมากในเกมอุ่นเครื่อง 3 นัดแรกภายใต้การคุมทีมของ เทน ฮาก แต่น่าเสียดายที่พอฤดูกาลจริงเปิดฉาก มาร์กซิยาลมีปัญหาบาดเจ็บทันที และหลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยปัญหาบาดเจ็บที่เรื้อรังมาตลอด แถมเป็นนักเตะที่มีค่าจ้างแพงมาก ทำให้สุดท้ายสโมสรต้องยอมจำใจปล่อยให้หมดสัญญา ปิดฉากช่วงเวลาที่อยู่กับทีมมานานถึง 9 ปีลงแค่นี้

 

เริ่มต้นความหวังใหม่กับเด็กวัย 21

ราสมุส ฮอยลุนด์ จะกลายเป็นนักเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 9 คนใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการ ซึ่งในซีซั่นใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ แฟนผีแดงทุกคนคงคาดหวังให้เขามีพัฒนาการที่ดีขึ้น หลังจากที่ฤดูกาลที่แล้ว เขามีช่วงที่ยิงไม่ได้เลยในพรีเมียร์ลีก 14 นัดแรก ซึ่งถ้าหากดาวรุ่งทีมชาติเดนมาร์กปรับจูนเข้ากับทีม และฟุตบอลอังกฤษได้เร็วกว่านี้ เจ้าตัวอาจจะยิงในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่า 10 ประตู และยิงรวมทุกถ้วยได้มากกว่า 16 ลูกนับรวมทุกรายการก็เป็นได้

แง่ดีที่แฟนบอล เร้ด อาร์มี่ อาจจะคาดหวังกับฮอยลุนด์ได้มากขึ้นกว่าปีก่อน ก็คือในฤดูกาลนี้เขาจะมีช่วงปรีซีซั่นกับทีม จากการที่หัวหอกวัย 21 ปีมีชื่อเป็นหนึ่งใน 29 นักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดที่จะเดินทางไปลงเล่นเกมอุ่นเครื่องที่สหรัฐอเมริกา 3 นัดด้วย ผิดกับช่วงปรีซีซั่นของปี 2023 ที่กว่าจะพลาดการซ้อมช่วงปรีซีซั่นไป เพราะกว่าสโมสรจะปิดดีลคว้าตัวจากอตาลันต้าได้ก็กินเวลาเจรจายืดเยื้อ แถมนักเตะพกปัญหาบาดเจ็บหลังมาจากต้นสังกัดเก่าอีกต่างหาก

นอกจากนั้นแล้ว การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ตัว รุด ฟาน นิสเตลรอย อดีตตำนานกองหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งของยุคพรีเมียร์ลีก เข้ามาเป็นหนึ่งในมือขวาของ เอริค เทน ฮาก ในฤดูกาลนี้ น่าจะมีการปรับจูนวิธีการเข้าทำ และการเคลื่อนที่ของกองหน้าให้ดีขึ้นกว่าฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งนอกจาก ราสมุส ฮอยลุนด์ แล้ว ทางด้านกองหน้าตัวใหม่อย่าง โจชัว เซิร์คซี่ ก็จะเข้ามาแย่งตำแหน่งกับฮอยลุนด์ด้วยอีกแรง ซึ่งถ้าหากมีการแข่งขันแย่งตำแหน่งตัวจริงที่เข้มข้นขึ้น เราอาจจะได้เห็นหัวหอกจากแดนโคนมยกระดับผลงานให้ดีขึ้นไปอีกก็เป็นได้