มันเป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในฟุตบอลอาชีพ เมื่อเกมระหว่าง เอเอส อาเดมา และ เอสโอ เลอ เออมีร์น ในเกมลีกสูงสุดมาดากัสการ์ เมื่อปี 2002 จบลงด้วยผลต่างที่มากถึง 149-0
สกอร์ดังกล่าวทำให้มันกลายเป็นการแข่งขันที่ยิงประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคยบันทึกไว้ ทำลายสถิติเดิมที่ อาร์โบอัธ เอาชนะ บอน แอคคอร์ด ในสก็อตติช คัพ เมื่อปี 1885 หรือเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วลงอย่างราบคาบ
เกิดอะไรขึ้นในเกมวันนั้น?
อันที่จริง เออมีร์น ควรจะลงเล่นเกมนัดนั้นด้วยความฮึกเหิม เพราะมันคือหนึ่งในฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา พวกเขาเข้าถึงรอบสองในศึกแอฟริกัน แชมเปียนส์ลีก และกำลังมีลุ้นป้องกันแชมป์ลีก
นอกจากนี้ ด้วยความที่แมตช์กับ อาเดมา เป็นเกมนัดสุดท้ายของในระบบมินิลีก ที่เอา 4 ทีมมาเตะกันแบบพบกันหมด เพื่อตัดสินว่าใครจะเป็นเบอร์ 1 ของลีกสูงสุดมาดากัสการ์ ทำให้มันไม่ต่างจากนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย
อย่างไรก็ดี จุดเปลี่ยนมาเกิดขึ้นในเกมก่อนหน้า ที่ เออมีร์น ต้องเจอกับ ดีเอสเอ อันตาตานาริโว เมื่อพวกเขากำลังจะเป็นฝ่ายคว้าชัย หลังนำอยู่ 2-1 แต่ในนาทีสุดท้าย พวกเขากลับมาโดนจุดโทษอย่างน่ากังขา และจบเกมด้วยสกอร์ 2-2
ผลเสมอทำให้ อาเดมา คว้าแชมป์ลีกทันที และทำให้ความฝันที่จะคว้าแชมป์ 2 ปีติดต่อกันของ เออมีร์น ต้องหลุดลอยไป จากความเสียใจ ได้เปลี่ยนมาเป็นความโกรธ และทำให้เกมนัดสุดท้าย ระหว่าง อาเดมา และ เออมีร์น กลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน
ทันทีที่เสียงนกหวีดดังขึ้น อาเดมา ก็ไม่ได้สัมผัสบอลอีกเลย ไม่ใช่เพราะ เออมีร์น เป็นฝ่ายพับสนามบุก แต่เป็นเพราะคู่แข่งของพวกเขา เป็นฝ่ายยิงเข้าประตูตัวเองไปทั้งสิ้น 149 ลูก
นักเตะของ เออมีร์น ช่วยกันยิงประตูด้วยความโกรธเกรี้ยว ขณะที่ผู้รักษาประตู ก็เพียงแค่ยืนมอง ที่ทำให้พวกเขามีอัตราการเสียประตูในระดับ 36 วินาทีต่อหนึ่งลูก
ฝั่งเออร์มีร์น ระบุว่าพวกเขาต้องการประท้วงการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมของตุลาการในสนาม และรู้สึกว่าผู้ตัดสินได้แย่งชิงตำแหน่งของพวกเขาไป
จากมุมมองของคนนอก ราโด อาโซอาไนโว อดีตกัปตันทีมชาติมาดากัสการ์ ที่ตอนนั้นเล่นให้ ลา แทมปอเนเซ บอกว่าตอนแรกเขารู้สึกงุนงง เมื่อได้เห็นสกอร์นั้น
“ส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกแปลกใจมาก เพราะมันน่าจะเป็นเกมที่สู้กันอย่างดุเดือด” ราโซอาไนโว กล่าวกับ The Athletic
“หลายคำถามหมุนวนอยู่ในหัวผม จากนั้นจึงเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์และเหตุผลอย่างรวดเร็ว มันก็ผิดปกติอยู่ดี”
จากรายงานระบุว่า นักเตะของ อาเดมา ยืนดูคู่แข่งยิงเข้าประตูตัวเองอย่างสนุกสนาน แต่แฟนบอลหลายคนไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเขารู้สึกเหมือนโดนหลอก ที่ต้องเสียเงินเข้ามาดูอะไรก็ไม่รู้ จึงพากันไปขอเงินคืนที่ห้องขายตั๋ว
ทั้งนี้ แม้ เออมีร์น จะยืนยันว่ามันคือการแสดงออกถึงการประท้วง แต่สมาคมฟุตบอลมาดากัสการ์ ก็สั่งลงโทษพวกเขาอย่างหนัก ไล่ตั้งแต่โค้ช ซากา รัตซาราซากา ที่ถูกห้ามคุมทีมข้างสนาม 3 ปี รวมถึงถูกสั่งห้ามเข้ามาชมเกมในสนามตลอดระยะเวลาที่โดนแบน
ส่วนนักเตะที่เป็นหัวโจก ไล่ตั้งแต่ มามิโซอา ราซาฟินดราโกโต กัปตันทีม รวมถึงเพื่อนร่วมทีมอย่าง มานิตรานิรินา อันเดรียนิไอนา, นิโคลัส ราโคโตอาริมันนานา และ โดมินิเก ราโคโตนันดราซานา ก็ถูกห้ามลงสนาม 3 ปี ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ รวมถึงห้ามเข้ามาชมเกมในสนามเหมือนกับโค้ชของพวกเขา
ขณะที่ผู้เล่นคนอื่นในทีมทุกคน แม้จะไม่โดนแบน แต่พวกเขาก็โดนคาดโทษ พร้อมกับเตือนว่าจะถูกลงโทษอย่างหนัก หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
“บอกตามตรง ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเขา (ราซาฟินดราโคโต) เสียใจ หรือภาคภูมิใจกับมัน” ราโซอาไนโว ที่เป็นเพื่อนกับ กัปตันทีม เออมีร์น กล่าว
แต่ที่แน่ ๆ สำหรับวงการฟุตบอลมาดากัสการ์ มันคือความน่าอับอายของพวกเขา เพราะแม้ว่าเรื่องราวจะผ่านมานานกว่า 23 ปี แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังคงถูกถึงในฐานะการแข่งขันที่มีการยิงประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์
“ผมรู้แค่ว่าตอนที่ผมถามเรื่องนี้กับเพื่อน เขารู้สึกอาย” ราโซอาไนโว กล่าวต่อ
“ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ทีมเขาทำในตอนนั้น แต่เพราะเขาได้เป็นกัปตันทีมชาติต่อจากผม และเขาก็รู้ว่ามันไม่ควรทำแบบนี้ในฐานะคู่แข่ง”
“พวกเขายังเด็ก และมันก็เป็นสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขาโกรธมาก พวกเขาทำโดยไม่ได้คิดว่าจะเกิดผลกระทบอะไร”
ทั้งนี้ ในความเป็นจริง นักเตะที่ถูกลงโทษในตอนนั้น กลับถูกแบนเพียงแค่ 2 นัด หลังทีมชาติมาดากัสการ์ จำใจต้องเรียกตัวพวกเขากลับมาช่วยชาติ จากปัญหาขาดแคลนผู้เล่น
อย่างไรก็ดี สำหรับ ราโซอาไนโว ที่ปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งประธานเทคนิคสมาคมฟุตบอลมาดากัสการ์ ก็บอกว่าเขาอาจจะไม่เห็นด้วยในสิ่งที่นักเตะ เออมีร์น กระทำ แต่ก็เข้าใจพวกเขาว่าทำไปเพราะอะไร และมันก็สะท้อนให้เห็นความเป็นไปของวงการฟุตบอลมาดากัสการ์ในตอนนั้นได้ดี
“บทลงโทษนั้นถูกต้องหรือไม่ ผมคงตอบว่าใช่ ในมุมที่พวกเขาได้ทำ เพราะว่าผู้เล่นต้องมีจรรยาบรรณในการเล่นฟุตบอล ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม” ราโซอาไนโวอธิบาย
“แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าพวกเขาผิดหวังกับเรื่องนี้อย่างมาก มันเป็นแค่หนทางเดียวที่พวกเขารู้ว่าต้องแสดงให้เห็น”
เรียกได้ว่าเป็นไวรัลอีกแล้ว เมื่อ ไมเคิ่ล โอเว่น ตำนานนักเตะของสโต๊ค ซิตี้ และลิเวอร์พูลหรือแมนฯ ยูไนเต็ด ที่มักถูกแฟนบอลแซวเรื่องคำวิจารณ์และทายผลลัพธ์ต่างๆ อยู่เสมอว่าความแม่นยำไม่ค่อยมีนั้น ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป็ป…
แม้ว่าในเกมล่าสุดที่อาร์เซนอลสามารถบุกไปเอาชนะคริสตัล พาเชซ มาได้ด้วยสกอร์สุดสวย 5-1 แต่ถ้ามองในรายละเอียดเกมทั้งหมดก็จะเห็นว่าอาร์เซนอลยังมีความผิดพลาดอยู่บ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะในครึ่งเวลาแรก หนึ่งในจังหวะหวาดเสียวที่สุดคือในนาทีที่ 10 ที่อาร์เซนอลพยายามจะบิ้วอัพจากหลังแต่คริสตัล พาเลซก็สามารถเพลสซิ่งได้ดี ในขณะนั้นบอลอยู่กับ เดบิด ราย่า เขามองขึ้นหน้าและเลือกจ่ายบอลไปให้ โธมัส ปาเตย์…
ถ้าพูดถึง มาร์คัส แรชฟอร์ด ในช่วงนี้ต้องบอกว่าเต็มไปด้วยความเห็นที่แตกต่างกันมากมาย มีทั้งฝั่งที่เห็นใจ เข้าใจ และฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแรชฟอร์ด ในส่วนของฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับแรชฟอร์ดต่างบอกว่าต้องการให้แรชฟอร์ดย้ายออกจากทีมไปและไม่ว่าทีมไหนที่ได้ตัวไป นั้นจะเป็นฝันร้ายอย่างแน่นอน ซึ่งนี่อาจจะเป็นความคิดเห็นที่สุดโต่งไปหน่อยและไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนั้นเช่นกันกับ เอียน ไรท์ อดีตตำนานกองหน้าของอาร์เซนอล ที่ออกแสดงความคิดเห็นไว้ว่า “ผมย้ายไปอาร์เซนอลตอนอายุ…
วันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว (20 ธันวาคม 2562) มิเกล อาเตต้า ถูกแต่งตั้งเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ หลังปลด อูไนเอเมรี่ การทำงานตลอด 5 ปี ภายใต้…
“ความคิดของผมเกี่ยวกับ กิว คือ บาร์เซโลนา ปล่อยเขามาได้อย่างไร?” โจ โคล อดีตมิดฟิลด์ของเชลซีกล่าว เชลซี ยังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในเกมฟุตบอลสโมสรยุโรป หลังไล่ถล่ม แชมร็อค โรเวอร์ส 5-1 ในศึกยูฟ่า…
ควันหลงจากเกมคาราบาว คัพที่สเปอร์สเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปได้สุดมันส์ 4-3 โดยในเกมนี้มาเรื่องดราม่ามากมายหลายประเด็น ในทุกคนรู้หรือไม่ว่าในระหว่างเกมที่เดือดไฟลุกแบบนี้มีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆสนามและนั้นก็ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่สำคัญนั้นคือก็ลูกโป่งสีเหลืองที่แฟนๆสเปอร์สร่วมกันชูขึ้น ว่าแต่ว่าลูกโป่งสีเหลืองคืออะไร พวกเขาส่งสัญญาณถึงใคร มาค่อยๆไล่เลียงกันไปครับ เกิดอะไรขึ้น? ย้อนกลับไปในวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมาเกิดการลักพาตัวประชาชนชาวอังกฤษขึ้นหลายคนไปฉนวนกาซา และหนึ่งในนั้นคือ Emily…