ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ : เมื่อ มาราโดนา ต้องไปเตะบอลในคุกหรูของ เอสโคบาร์

Maruak Tanniyom

April 26, 2024 · 1 min read

ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ : เมื่อ มาราโดนา ต้องไปเตะบอลในคุกหรูของ เอสโคบาร์
ฟุตบอล | April 26, 2024
เมื่อครั้งหนึ่งดาวเตะชื่อก้องโลกได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับราชายาเสพติดแห่งโคลอมเบีย

ดิเอโก มาราโดนา ได้รับการยกย่องในฐานะนักเตะระดับโลก ทว่า ครั้งหนึ่ง อดีตตำนานชาวอาร์เตนไตน์ กลับต้องไปเตะบอลในเรือนจำ 

อย่างไรก็ดี มันไม่ใช่เรือนจำธรรมดา แต่เป็นเรือนจำสุดหรูของ พาโบล เอสโคบา ราชายาเสพติดโลก เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น? 

เหตุการณ์นี้ต้องย้อนกลับไปในปี 1991 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ มาราโดนา กำลังชดใช้โทษแบน 15 เดือนจากการเสพโคเคน เขาก็ได้รับข้อเสนอสำคัญจากบุคคลหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ 

“มีคนสำคัญจากโคลอมเบียอยากให้คุณไปเยี่ยมและเล่นฟุตบอลด้วยกัน เขาจ่ายเงินให้สูงมาก” กิลเยโม คอปโปลาร์ เพื่อนและเอเยนต์บอกกับ ดิเอโก มาราโดนา

ตอนแรก มาราโดนา ไม่รู้ ว่าคนที่เชิญเขาไปคือใคร แต่ด้วยข้อเสนอที่สูงมาก บวกกับเขามีเวลาว่างเหลือเฟือในระหว่างชดใช้โทษแบน จึงตอบตกลงไปแบบไม่คิดอะไร

แต่ทันทีที่ไปถึงก็ทำให้เขาต้องตะลึง เมื่อสถานที่ที่เขาไปถึงดูดีกว่าการจะเรียกว่าเป็นเรือนจำ มันเต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ไล่ตั้งแต่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ บาร์เหล้า โต๊ะพูล อ่างจากุซซี่ ไปจนถึงสระว่ายน้ำพร้อมน้ำตก 

และที่แห่งนั้นก็คือ “ลา กาเตดรัล” เรือนจำส่วนตัวสุดหรูของ เอสโคบาร์ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อคุมขังตัวเอง แลกกับการไม่ถูกรัฐบาลโคลอมเบีย ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีที่สหรัฐอเมริกา 

“ที่นั่นเป็นเหมือนโรงแรมห้าดาวในดูไบ มากกว่าเรือนจำ พวกเขาแนะนำผมกับ เอสโคบาร์ และบอกผมว่า ‘ดิเอโก้ นี่คือบอส’” มาราโดนากล่าว

“เขาใจดีกับผมมาก แต่ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร เพราะผมไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์และดูทีวีในตอนนั้น ทั้งหมดที่ผมรู้คือคนสำคัญมากของโคลอมเบียอยากเจอผม” 
 
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่ เอสโคบาร์ คลั่งไคล้ฟุตบอลมาก ทำให้เรือนจำแห่งนี้ ยังมีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่แบบ 11 คน ที่เอาไว้ให้เขาและลูกน้องได้ดวลแข้งกัน แถมบางทีมันยังมีโอกาสได้ต้อนรับนักเตะชื่อดัง

“โค้ชบอกว่าการซ้อมถูกยกเลิกเพื่อสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้ดี เพื่อเขา (เอสโคบาร์) ที่เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของเรา” ออสการ์ ปาเรญา อดีตนักเตะทีมชาติโคลอมเบียที่เคยไปเล่นฟุตบอลใน ลา กาเตดรัล กล่าวกับ ESPN  

“ที่นั่นมีโซฟาอย่างดี มีทีวี มีขนมมาให้เรากิน หลังจากนั้นบอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาในห้อง จากนั้นก็เป็นเอสโคบาร์ มันทำให้ผมอึ้งมาก ‘เดี๋ยว นี่พวกเราหรือเขาเป็นนักโทษกันแน่เนี่ย ?'”

“มันเป็นวันที่ผมไม่เคยลืม เขานั่งอยู่ข้างผมและพูดคุยเกี่ยวกับฟุตบอลด้วยแพชชั่นและความรู้ที่สุดยอดอยู่เป็นชั่วโมง เขารู้ทุกอย่าง เขาบอกกับผมว่า ‘ทำไมคุณถึงเรียกผู้ตัดสินเยอะขนาดนั้นเกาโป (ชื่อเล่นของปาเรญา) เราจ่ายเงินให้เขา ทำแบบนี้ไม่ดีเลย”

จนกระทั่งคิวก็มาถึง มาราโดนา ที่นอกจากจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องฟุตบอลกับ เอสโคบาร์ แล้ว เขายังมีโอกาสได้สวมสตั๊ดลงหวดกับทีมของ เอสโคบาร์ ที่มี เรเน ฮิกิตา อดีตนายทวารทีมชาติโคลอมเบียอยู่ในทีม 

“เขาบอกผมว่าเราทั้งสองคนต่างเกิดมายากจน และพยายามถีบตัวเองไปให้สูง” มาราโดนากล่าว

ทว่า การเล่นฟุตบอล เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อหลังเกม เอสโคบาร์ ยังได้ต้อนรับสตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ ด้วยปาร์ตี้แบบจัดเต็ม ทั้งสุราและนารี จนกลายเป็นค่ำคืนที่ลืมไม่ลงของ มาราโดนา 

“หลังจากเกม เราก็มีปาร์ตี้กับสาวสวยที่ผมไม่เคยเห็นอะไรมาก่อนในชีวิต และนั่นมันในเรือนจำนะ ผมแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น เช้าวันต่อมา เขาจ่ายเงินให้ผมและบอกลากัน” อดีตหมายเลข 10 กล่าว 

อย่างไรก็ดี มาราโดนา ก็เป็นนักฟุตบอลระดับโลกคนท้ายๆ ที่ได้ไปเยือนที่แห่งนั้น เมื่อในปีต่อมา เอสโคบาร์ ได้หลบหนีออกจากที่นั่น หลังข้อตกลงระหว่างเขาและรัฐบาลโคลอมเบียถูกยกเลิก จากการที่เขาทรมานและฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางใน “ลา กาเตดรัล” 

หลังจากหนีอย่างหัวซุกหัวซุนอยู่ถึง 16 เดือน ในวันที่ 2 ธันวาคม 1993 เขาก็ถูกวิสามัญฆาตกรรม ปิดฉากตำนานเจ้าพ่อยาเสพติดของโลก ด้วยวัยเพียง 44 ปี 

ส่วน มาราโดนา เขาย้ายไปเล่นให้ เซบียา ในปีต่อมา แต่ก็เริ่มหมดสภาพ แถมยังมีเรื่องอื้อฉาวนอกสนาม ทั้งเรื่องเสพยา และใช้สารกระตุ้น ก่อนจะย้ายกลับไปเล่นในบ้านเกิดกับ นีเวลส์ โอลด์ บอยส์ และโบคา จูเนียร์ และแขวนสตั๊ดไปในปี 1998