ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด : การกลับมาของทีมฟุตบอลที่เคยแพ้ยับ 31-0

Maruak Tanniyom

March 26, 2024 · 2 min read

ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด : การกลับมาของทีมฟุตบอลที่เคยแพ้ยับ 31-0
ฟุตบอล | March 26, 2024
พบกับเรื่องราวของการต่อสู้ของทีมที่เคยพ่ายแพ้ชนิดไม่เหลือชิ้นดี สู่ความภาคภูมิใจแห่งโลกลูกหนัง

“หลังเกมเราเดินกลับไปในห้องแต่งตัว ผมก้มหัวแล้วผมก็ร้องไห้นิดหน่อย” นิคกี ซาลาปู ผู้รักษาประตูในทีมชุดนั้นย้อนความหลัง

“ผมรู้สึกอายมาก มันเหมือนกับว่าผมไม่อยากเล่นฟุตบอลอีกต่อไปแล้ว”  

หากมองอย่างผิวเผิน สกอร์ 31-0 น่าเป็นการแข่งขันกีฬาอะไรสักอย่างที่มีการทำแต้มอย่างต่อเนื่อง อย่าง บาสเก็ตบอล แฮนด์บอล หรือ อเมริกันฟุตบอล ทว่า ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นผลการแข่งขันของฟุตบอลมาก่อน

มันคือการแข่งขันระหว่าง ออสเตรเลีย และ อเมริกันซามัว ที่ฝ่ายแรกจัดการไล่อัดผู้มาเยือนไปอย่างขาดลอย พร้อมทำสถิติชัยชนะในเกมทีมชาติที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์

แม้ว่าสำหรับ ออสเตรเลีย มันคือชัยชนะสำคัญ แต่สำหรับผู้แพ้อย่าง อเมริกัน ซามัว มันคือความอับอายที่ทำให้พวกเขาอยากจะมุดแผ่นดินหนี

แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ พยายามกอบโกยเศษซากแห่งความย่อยยับ มาปะติดปะต่อ เพื่อลุกกลับมายืนให้ได้อีกครั้ง และนี่คือเรื่องราวเหล่านั้น

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ อาจจะต้องย้อนกลับไปในปี 2001 เมื่อ อเมริกัน ซามัว ที่เพิ่งตั้งไข่ในโลกลูกหนัง ต้องลงเตะฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โซนโอเชียเนีย ด้วยการพบกับเบอร์ 1 ของทวีป อย่าง ออสเตรเลีย ที่ตอนนั้นยังไม่ได้ย้ายมาอยู่กับสหพันธ์ฟุตบอลเอเชียหรือเอเอฟซี

อันที่จริง เรียกได้ว่าเป็นโชคไม่ดีของ อเมริกัน ซามัว เมื่อตอนนั้น พวกเขารั้งอยู่ในอันดับสุดท้ายของโลก แถมนับตั้งแต่เข้าเป็นสมาชิกของฟีฟ่า หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิคแห่งนี้ ยังไม่เคยชนะใครเลย

นอกจากนี้ พวกเขายังมาโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อนักเตะ 19 คนจาก 20 คนในทีม มีปัญหาเรื่องหนังสือเดินทาง ทำให้ต้องเรียกใช้นักเตะเยาวชน และทำให้ทั้งทีมมีอายุเฉลี่ยแค่เพียง 19 ปี โดยมี นิคกี ซาลาปู ผู้รักษาประตูเป็นนักเตะจากชุดซีเนียร์เพียงคนเดียว

และเป็นไปตามคาด เมื่อ อเมริกัน ซามัว ที่โดนฟิจิ อัดมา 13-0 และ ซามัว (คนละประเทศกับอเมริกัน ซามัว) ถล่มมา 8-0 ไม่สามารถต้านทานความโหดของ ออสเตรเลียได้เลย เพราะหลังจากเสียประตูแรกในนาทีที่ 10 จากนั้นสกอร์ก็ไหลเป็นน้ำ และจบ 45 นาทีแรก ด้วยการตามหลังอยู่ 16-0

ครึ่งหลังออสเตรเลีย ดูเหมือนยังไม่หนำใจ พวกเขาปูพรมบุก และมาได้เพิ่มอีก 15 ประตู ก่อนจะจบเกมด้วยชัยชนะที่ขาดลอยถึง 31-0 กลายเป็นชัยชนะที่มากที่สุดในเกมทีมชาติที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

สำหรับผู้ชนะ มันอาจจะเป็นผลการแข่งขันที่น่าพอใจ แต่สำหรับ อเมริกัน ซามัว นี่คือฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือน โดยเฉพาะ ซาลาปู ผู้รักษาประตูที่ต้องไปเก็บบอลที่ก้นตาข่ายถึง 31 ครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น หลังเกมนัดดังกล่าว เขายังคงถูกหลอกหลอนจากสกอร์ในเกมนัดนี้ หรือแม้แต่ลูกชายของเขา ก็ยังถูกตราหน้าที่โรงเรียนว่าเป็นทายาทของชายที่โดนยิง 31 ประตูในนัดเดียว

เวลาล่วงเลยผ่านไป อเมริกัน ซามัว ยังคงเป็นสมันน้อยของทวีป การโดนยิงอย่างถล่มทลายของพวกเขาเป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมาย หลายชาติใช้พวกเขาเป็นทีมซ้อมเกมรุก ที่ทำให้พวกเขาเสียถึง 72 ประตูจาก 8 นัดในช่วงปี 2006-2010

ทว่าในปี 2011 ทีมชาติอเมริกัน ซามัว ก็เริ่มมีความหวัง หลัง โทมัส รอนเจน อดีตกุนซือทีมชาติสหรัฐอเมริกา U20 และ U21 ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเป็นเฮดโค้ชคนใหม่

แม้ว่าในตอนแรก เฮดโค้ชชาวอเมริกัน ก็รู้สึกท้อใจกับมาตรฐานของทีม แต่เขาก็พยายามอัดความรู้ให้อย่างเต็มที่ โดยเน้นไปที่การจ่ายบอล และแทคติกในเชิงลึกภายในระยะเวลาจำกัด

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือการเรียกตัว นิคกี้ ซาลาปู ผู้รักษาประตูวัย 31 ปี จากเกมนัดประวัติศาสตร์ ที่หายหน้าไปจากทีมชาติตั้งแต่ปี 2004 กลับมาสู่ทีม ด้วยความหวังที่จะให้ประสบการณ์ของเขาแนะนำรุ่นน้องได้

“ผมเรียกเขามา และขอร้องให้เขากลับมา เพื่อกำจัดปีศาจร้ายในตัวเขา” รอนเจนกล่าว

“มันเป็นการเดิมพันที่สูงมาก ผมไม่มีไอเดียอะไรเลยตอนที่เรียกเขามาว่าเขาจะนำทีมไปอย่างไร หรือแรงกระตุ้นที่เขามีเป็นอย่างไร แต่นิคกี้คือผู้เล่นคนเดียวจากชุดแพ้ 31-0 ทุกคนรู้จักเขา”

“เขาเป็นแรงบันดาลใจที่แท้จริง เหมือนกับว่าเราติดหนี้นิคกีที่ทำงานอย่างหนัก และทำอะไรที่พิเศษมาก เขาปล่อยเกมนั้นไปจากชีวิตมาหลายปี ถ้าเขาสามารถไล่ปีศาจในตัวออกไปได้ เราก็จะสร้างทีมได้”

สำหรับ ซาลาปู แม้ว่าเกมนัดนั้นจะทำให้เขาไม่อยากเล่นฟุตบอลต่อ แต่ในใจลึกๆ เขาก็อยากแก้ตัว เพื่อให้ผู้คนเลิกโทษเขาว่าเป็นต้นตอของความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติิ

“เขาขอร้องผม หากผมอยากจะล้างอายในเกมนั้น ในเกมกับออสเตรเลีย” ซาลาปูกล่าว

“เขาบอกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ดี เขาเป็นโค้ชอาชีพ และเราก็มีนักเตะที่ดี มีนักเตะบางคนมาจากอเมริกา ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ แต่เขาบอกผมทุกอย่าง และบอกผมว่าเขาอยากเอาความอับอาย 31-0 ทิ้งไปและกลายเป็นผู้ชนะ ผมบอกว่า ‘โอเค นี่จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะกลับไป และหนีจากความอับอายนี้เสียที’ ผมดีใจที่เขาเรียกตัวผม”

พฤศจิกายน 2011 เกมนัดสำคัญก็มาถึง ตอนนั้น อเมริกัน ซามัว มีคิวที่จะลงเตะในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก ด้วยการพบกับ ซามัว, ตองกา และ หมู่เกาะคุก ที่อาเปีย เมืองหลวงของ ซามัว

พวกเขาประเดิมสนามด้วยการพบกับ ตองกา ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเอาชนะได้เลย แต่แทคติกของ รอนเจน ก็ทำให้ต่างออกไป เมื่อ อเมริกัน ซามัว เป็นฝ่ายครองเกม และได้ประตูออกนำก่อนหมดครึ่งแรกจาก รามิน ออตต์ กองหน้าที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ครึ่งหลังเกมเป็นไปอย่างตึงเครียด เมื่อมีโอกาสทั้งสองฝ่าย แต่ไม่มีใครคมพอ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงนาทีที่ 78 เป็น อเมริกัน ซามัว ที่มาได้ประตูทิ้งห่าง 2-0 จาก ชาลอม ลัวนี

ช่วงท้ายเกม ด้วยความเหนื่อยล้าจากอากาศที่ร้อนจัด ทำให้เกมของ อเมริกัน ซามัว แผ่วลง จนมาโดน ตองกา ตีตื้นเป็น 2-1 ในนาทีที่ 88  

ทำให้ช่วงเวลาที่เหลือ อเมริกัน ซามัว กลายเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่คู่แข่ง ก็ไม่สามารถยิงผ่านมือ ซาลาปูเข้าไปได้ ก่อนที่จบเกม พวกเขาจะเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-1

ชัยชนะนัดนี้ อาจจะเป็นเพียง 3 แต้ม จากอีกหลายเกมในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ทว่าสำหรับอเมริกัน ซามัว มันคือชัยชนะครั้งสำคัญของพวกเขา เพราะนี่คือการคว้าชัยในเกมอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติ

ทำให้พวกเขาพากันฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยง ราวกับคว้าแชมป์โลก หลายคนพากันเต้นท่า siva tau (ท่าฮากา) ที่กลางสนาม โดยมี ซาลาปู ร้องไห้อยู่อีกฝั่งของสนามด้วยความตื้นตัน

“มันเหมือนกับปาฏิหาริย์ แต่มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มันเป็นความรู้สึกมากมายในตอนนี้ เป็นความรู้สึกที่ท่วมท้น” ซาลาปูกล่าว

“ในที่สุด ผมก็ทิ้งอดีตไว้ข้างหลังได้เสียที ผมสามารถมีชีวิตอีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมถูกปล่อยออกจากการเป็นนักโทษ”

“มันเหมือนกับทุกอย่าง ผ่านไปแล้ว ผมคิดว่าตอนนี้ผมกลายเป็นอิสระ ผมรู้สึกดีจริงๆ”  

หลังเกมนัดนั้น อเมริกัน ซามัว ยังสามารถคว้าอีก 1 คะแนน จากการเสมอหมู่เกาะคุก ก่อนจะพ่ายให้กับ ซามัว 1-0 พลาดโอกาสผ่านเข้าสู่รอบต่อไปอย่างน่าเสียดาย ทว่า สำหรับพวกเขา มันคือทัวร์นาเมนต์ที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ โดยเฉพาะ ซาลาปู

“สำหรับเขา มันคือการแสดงให้โลกเห็นว่าประเทศนี้ ไม่ใช่เฉพาะตัวเขาแต่หมายถึงทีม สามารถทำอะไรบางอย่าง นั่นคือเราสามารถชนะ เราไม่ใช่ผู้แพ้อีกแล้ว” รอนเจน

ทั้งนี้ เกมประวัติศาสตร์นัดนี้ยังถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์สารคดีในชื่อ Next Goal Wins ที่ออกฉายในปี 2014 โดยสองผู้กำกับไมค์ เบร็ตต์ และ สตีฟ เจมิสัน ก่อนที่ในปี 2023 เรื่องราวเหล่านี้จะถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ออกฉาย โดยในบ้านเราสามารถรับชมได้ทาง Disney Hotstar

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าหลังจากนั้น อเมริกัน ซามัว จะสามารถคว้าชัยได้อีก 2 นัด ในการแข่งขันเมื่อปี 2015 แต่คงจะไม่มีเกมไหนที่ตราตรึงอยู่ในใจของพวกเขาได้เท่าเกมเมื่อปี 2011 เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของการบอกให้โลกเห็นว่า “พวกเขาก็ชนะเป็นเหมือนกัน”