เขาคือนักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าอยู่ในระดับอัจฉริยะ แถมยังผ่านการค้าแข้งให้กับทีมดังในลีกบราซิล ไม่ว่าจะเป็น โบตาโฟโก, ฟลาเมงโก, ฟลูมิเนนเซ หรือ วาสโก ดา กามา
อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี คาร์ลอส ไกเซอร์ กลับไม่ได้ลงเล่นแม้แต่นัดเดียว ที่ไม่ได้เป็นเพราะโค้ชไม่ยอมส่งเขาลงสนาม แต่เพราะเขาปฏิเสธที่จะเล่นเอง เขาทำได้อย่างไร?
“ผมอยากอยู่ท่ามกลางผู้เล่นคนอื่น ผมแค่ไม่อยากเล่น มันเป็นปัญหาสำหรับทุกคนถ้าพวกเขาอยากให้ผมเป็นนักฟุตบอล แม้กระทั่งเยซู ก็ไม่ได้เป็นที่พอใจทุกคน แล้วทำไมผมจึงจะเป็นแบบนั้นไม่ได้” ไกเซอร์ กล่าวกับ The Guardian
อันที่จริง ฝีเท้าของ ไกเซอร์ ก็ไม่ได้ธรรมดา เพราะในวัยเด็ก เขาได้เริ่มต้นเส้นทางลูกหนัง ด้วยการได้เข้าไปอยู่ในทีมเยาวชนของ โบตาโฟโก และ ฟลาเมงโก แถมยังได้รับสัญญาอาชีพตั้งแต่อายุ 16 กับ ปูเอบลา ในลีกเม็กซิโก
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือวิธีคิดของเขา ในช่วงวัยรุ่น เมื่อ ไกเซอร์ ค้นพบการทำงานแบบ “ชีวิตต้องง่าย” ด้วยการใช้วาทศิลป์อันเป็นเลิศ ตีสนิทกับผู้มีอำนาจในสโมสร แล้วโกหกประวัติส่วนตัว จนทำให้สโมสรยอมเซ็นสัญญากับเขา
“การพูดคุยกับเขามันดีมาก ถ้าคุณปล่อยให้เขาเปิดปาก มันจะเป็นไปแบบนั้น เขาจะร่ายเวทมนตร์ใส่คุณ คุณเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่เป็น” เบโบโต อดีตกองหน้าทีมชาติบราซิลกล่าวกับ The Guardian
เนื่องจากในช่วงเวลานั้น อินเตอร์เน็ตยังไม่ได้แพร่หลาย และการสืบค้นข้อมูลก็ทำได้ยาก ไกเซอร์ ก็ใช้ช่องโหว่นี้ในการสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเอาเสื้อให้นักข่าวที่เจอ เพื่อขอให้เขียนข่าวปลอมว่าเขาเป็นยอดดาวยิง หรือแกล้งพูดภาษาอังกฤษระหว่างคุยโทรศัพท์ แสร้งว่ามีทีมจากต่างประเทศกำลังสนใจในตัวเขา
“เขาแกล้งพูดภาษาอังกฤษ ทั้งที่จริงมันผิดหมดเลย วันหนึ่งผมได้ไปอยู่ใกล้ ๆ เขาจากด้านหลังและเห็นว่าที่จริงเขาไม่ได้คุยกับใคร” โรนัลโด ตอร์เรส อดีตเพื่อนร่วมทีมของเขากล่าว
ส่วนในสนามเขาจะใช้วิธีแกล้งเจ็บตั้งแต่วันแรกที่ลงซ้อมกับทีม ทั้งเจ็บกล้ามเนื้อ ไปจนถึงจ้างรุ่นน้องหรือเพื่อนร่วมทีมให้มาหวดเขาในสนาม เพื่อให้เขาลงเล่นต่อไม่ไหว
“เขาจะตกลงกับเพื่อนร่วมทีมว่า บอลแรกให้เข้ามาเตะเขาให้แรง เพราะว่าเขาอยากไปห้องพยาบาล” เรนาโตเพื่อนร่วมทีมของ ไกเซอร์ กล่าวกับ The Sportman
ด้วยความที่ยุคนั้น ยังไม่มีการเอาเทคโนโลยี MRI (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) มาช่วยวิเคราะห์อาการบาดเจ็บในทีมฟุตบอล จึงกลายเป็นช่องทางให้ ไกเซอร์ สามารถอ้างได้ว่าเขาเจ็บหนัก และต้องพักรักษาตัวเป็นระยะเวลาหลายเดือน
“ผมจะบาดเจ็บ 3 เดือนตั้งแต่ต้น ผมเจ็บหลอกเพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีเทคโนโลยี MRI เพื่อตรวจสอบ” ไกเซอร์กล่าว
นอกจากนี้ เนื่องจากสัญญาส่วนใหญ่ของ ไกเซอร์ มีระยะเวลาแค่ 3-6 เดือน ทำให้กว่าที่เขาจะหาย (จากอาการบาดเจ็บปลอม) เขาก็หมดสัญญาไปแล้ว และทำให้ชีวิตส่วนใหญ่ของนักเตะรายนี้หมดไปกับการดูเพื่อนเล่นที่ข้างสนาม พร้อมกับรับทรัพย์เข้ากระเป๋าทุกเดือน
“ผมมักได้เซ็นสัญญาระยะสั้น ปกติราว 3 เดือน ผมจะได้ค่าเซ็นสัญญา และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น” ไกเซอร์กล่าวกับ Globo
อย่างไรก็ดี การเป็นนักเตะลวงโลกของเขา ก็เกือบทำให้เขาต้องสิ้นชีวิต เมื่อดันไปลองดีกับเจ้าของสโมสร บังกู แอตเลติโก คลับ อย่าง คาสตอร์ เด อันดราเด ที่ขึ้นชื่อลือชาในความโหด และเคยพกปืนลงไปขู่กรรมการถึงในสนามมาแล้ว
ในตอนแรก ไกเซอร์ ก็ยังใช้วิธีเดิม นั่นคือตีสนิทกับประธานสโมสร ด้วยการจ้างหญิงขายบริการถึง 2 คน มานอนกับ คาสตอร์ ก่อนจะแกล้งเจ็บในการฝึกซ้อมครั้งแรก เหมือนกับที่ผ่านมา
เขาคิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะทุกคนที่สโมสร ก็ดูเชื่อเขา ทว่าวันหนึ่งขณะที่ ไกเซอร์ กำลังเที่ยวกลางคืนอย่างสบายใจ ก็มีโทรศัพท์จากมอยเซ กุนซือของทีมในตอนนั้น โทรมาหาเขาที่ไนท์คลับ ขอสายเขาที่ไนท์คลับ และบอกว่าเขาจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวสำรองในวันพรุ่งนี้
ไกเซอร์ ตกใจมาก เพราะตอนนั้นตี 4 แล้ว อย่าว่าแต่นักเตะปลอมแบบเขา เพราะแข้งอาชีพเองก็ยังลำบาก แต่คำสัญญาของโค้ชที่บอกว่า เขาจะมีชื่อเพียงอย่างเดียว และไม่ถูกส่งลงสนามก็ทำให้เขาสบายใจขึ้น
“วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังปาร์ตี้อยู่ในไนท์คลับที่ชื่อ Caligula ที่ริโอ ตอนนั้นมันยังไม่มีมือถือ แต่ช่วงดึก โค้ชมอยเซ ผู้ล่วงลับที่เคยเล่นให้กับ วาสโก โทรหาผม (ที่ไนท์คลับ) และบอกว่า ‘บอสอยากให้แกนั่งสำรองวันนี้'” ไกเซอร์ย้อนความหลัง
“ผมได้แต่คิดว่า ‘นี่มันตี 4 เนี่ยนะ แล้วผมจะเล่นยังไง ?’ มอยเซตอบมาว่า ‘ไม่ ๆ แค่นั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง นายจะไม่ได้เล่น'”
แต่ในตอนแข่งจริง กลับไม่เหมือนที่คิดไว้ เมื่อทีมโดนนำห่างถึง 2-0 ในระยะเวลาไม่กี่นาที ทำให้ประธานสโมสรวิทยุมาจากบนอัฒจันทร์ สั่งให้ มอยเซ ส่ง ไกเซอร์ นักเตะโปรไฟล์หรูที่สุดของทีมลงสนามหวังแก้เกม
ในตอนนั้น ไกเซอร์ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่ว่าทางไหนก็หายนะ หากเขาลงเล่น แล้ว คาสตอร์ รู้ว่าเขาเป็นนักเตะลวงโลก ก็คงโดนเอาถึงตาย หรือหากไม่ยอมลงเล่น ก็จะถูกมองว่าขัดใจประธาน และน่าจะลงเอยด้วยความตายไม่ต่างกัน
ทว่า เหมือนโชคจะเข้าข้าง เมื่อขณะไปอบอุ่นร่างกาย เตรียมลงสนาม เขาดันโดนแฟนบอลของทีมเยือนดูถูก มันคือไหวพริบของอัจฉริยะอย่างแท้จริง เมื่อ ไกเซอร์ รู้ว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุด นั่นคือไปต่อยกับแฟนบอลคู่แข่ง และทำให้เขาถูกไล่ออกจากสนาม โดยที่ยังไม่ได้ลงเล่น
“ผมกำลังจะตาย แต่ตอนที่ไปอบอุ่นร่างกายที่ริมรั้ว แฟนบอลเรียกผมว่าไอ้เกย์ผมยาว ผมจึงกระโดดข้ามรั้วไป และต่อยตีกับแฟนบอล จนถูกไล่ออกก่อนถูกส่งสนาม” ไกเซอร์อธิบาย
สำหรับคำแก้ตัวกับประธานจอมโหด เขาบอกว่าเขาทนไม่ได้ที่คู่แข่งลบหลู่ คาสตอร์ ซึ่งเขานับถือเหมือนพ่อคนที่ 2 คำพูดนั้น นอกจากจะทำให้เขาไม่ถึงที่ตายแล้ว ยังทำให้ ไกเซอร์ ได้รับการต่อสัญญาออกไปอีกด้วย
“คาสตอร์ เด อันดราเด มาที่ห้องแต่งตัว ตอนที่เขาลงมาผมพูดว่า ‘พระเจ้าพรากพ่อกับแม่ผมไป แต่ท่านก็ส่งพ่ออีกคน แต่พวกนั้นก็หาว่าเขาเป็นโจร ดังนั้นผมจึงสติแตกและไปต่อยกับพวกเขา'” นักเตะจอมลวงโลกอธิบาย
“ผมบอกไปว่า ผมไม่อยากให้คุณกังวล เพราะว่าสัญญาของผมเหลือแค่ไม่กี่สัปดาห์ และเดี๋ยวผมจะจากไปเอง จากนั้นเขาโทรหาผู้บริหารและบอกว่า ‘เพิ่มค่าเหนื่อยให้ไกเซอร์ 2 เท่าและต่อสัญญาไปอีก 6 เดือน'”
ทั้งนี้ แม้ว่า ไกเซอร์ จะดูเป็นพวกโกหกปลิ้นปล้อน หรือลวงโลกแค่ไหน แต่ไม่มีใครเกลียดตัวตนของเขาเลย กลับกันหลายคนยังบอกว่าเขาเป็นนักต้มตุ๋นที่นิสัยดี อีกทั้งการหลอกลวงของเขาก็ไม่เคยมีใครเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่นหลอกว่าลืมเอากระเป๋าเงินมาตอนจ่ายอาหารเป็นต้น
“ผมไม่เคยเจอใครที่มีเรื่องที่ทำให้เห็นว่า ไกเซอร์ เป็นคนไม่น่าไว้วางใจ” คาร์ลอส อัลแบร์โต กัปตันชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1970 กล่าวกับ The Guardian
นอกจากนี้ เขายังมักทำให้คนใกล้ตัวรู้สึกดีอยู่เสมอ ทั้งจากคอนเน็คชั่นของเขา และจากตัวเขาเอง เช่นแอบจองรีสอร์ทหรูที่จองยากมากในช่วงปีใหม่เพื่อเซอร์ไพรส์ คาร์ลอส อัลแบร์โต หรือสร้างเสียหัวเราะให้กับเพื่อนร่วมทีม
“เขาสร้างความสนุก ทำให้มีความสุข และเป็นคนอารมณ์ดี” อเล็กซานเดร ตอร์เรส ลูกชายของ คาร์ลอส อัลแบร์โต กล่าวกับ The Guardian
“เขาจะเล่าเรื่อง และทำให้ผู้เล่นเหมือนล่องลอยไปในความฝัน ผมคิดว่านั่นคือเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงชอบเขามาก”
ด้วยเหตุนี้ทำให้แม้ว่าจะมีคนรู้ความจริง แต่ก็ไม่มีใครถือโทษโกรธเขา กลับกันยังช่วยปกป้องเมื่อ ไกเซอร์ มีปัญหา จนทำให้เขาสามารถโลดแล่นอยู่ในวงการลูกหนังกว่า 3 ทศวรรษ โดยที่ไม่จำเป็นต้องลงสนามแม้แต่เกมเดียว
“ผู้เล่นต่างรู้ แต่พวกเขาทุกคนเป็นเพื่อนของผม นักข่าวก็ไม่มีใครที่มาแฉผม” ไกเซอร์อธิบาย
“เมื่อใดก็ตามที่ประธานสโมสรต้องการกำจัดผม ผู้เล่นก็จะรวมตัวและขอร้องว่าอย่าทำอย่างนั้น เพราะว่าผมเอาอะไรมากมายมาให้สโมสร ผมเชื่อมพวกเขาให้เป็นกลุ่มก้อนกัน”
และมันก็ทำให้นักเตะลวงโลกคนนี้ มีแต่ผู้คนรักใคร่ จนเป็นหนึ่งในตำนานของฟุตบอลบราซิลจวบจนถึงปัจจุบัน
เรียกได้ว่าเป็นไวรัลอีกแล้ว เมื่อ ไมเคิ่ล โอเว่น ตำนานนักเตะของสโต๊ค ซิตี้ และลิเวอร์พูลหรือแมนฯ ยูไนเต็ด ที่มักถูกแฟนบอลแซวเรื่องคำวิจารณ์และทายผลลัพธ์ต่างๆ อยู่เสมอว่าความแม่นยำไม่ค่อยมีนั้น ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป็ป…
แม้ว่าในเกมล่าสุดที่อาร์เซนอลสามารถบุกไปเอาชนะคริสตัล พาเชซ มาได้ด้วยสกอร์สุดสวย 5-1 แต่ถ้ามองในรายละเอียดเกมทั้งหมดก็จะเห็นว่าอาร์เซนอลยังมีความผิดพลาดอยู่บ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะในครึ่งเวลาแรก หนึ่งในจังหวะหวาดเสียวที่สุดคือในนาทีที่ 10 ที่อาร์เซนอลพยายามจะบิ้วอัพจากหลังแต่คริสตัล พาเลซก็สามารถเพลสซิ่งได้ดี ในขณะนั้นบอลอยู่กับ เดบิด ราย่า เขามองขึ้นหน้าและเลือกจ่ายบอลไปให้ โธมัส ปาเตย์…
ถ้าพูดถึง มาร์คัส แรชฟอร์ด ในช่วงนี้ต้องบอกว่าเต็มไปด้วยความเห็นที่แตกต่างกันมากมาย มีทั้งฝั่งที่เห็นใจ เข้าใจ และฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแรชฟอร์ด ในส่วนของฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับแรชฟอร์ดต่างบอกว่าต้องการให้แรชฟอร์ดย้ายออกจากทีมไปและไม่ว่าทีมไหนที่ได้ตัวไป นั้นจะเป็นฝันร้ายอย่างแน่นอน ซึ่งนี่อาจจะเป็นความคิดเห็นที่สุดโต่งไปหน่อยและไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนั้นเช่นกันกับ เอียน ไรท์ อดีตตำนานกองหน้าของอาร์เซนอล ที่ออกแสดงความคิดเห็นไว้ว่า “ผมย้ายไปอาร์เซนอลตอนอายุ…
วันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว (20 ธันวาคม 2562) มิเกล อาเตต้า ถูกแต่งตั้งเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ หลังปลด อูไนเอเมรี่ การทำงานตลอด 5 ปี ภายใต้…
“ความคิดของผมเกี่ยวกับ กิว คือ บาร์เซโลนา ปล่อยเขามาได้อย่างไร?” โจ โคล อดีตมิดฟิลด์ของเชลซีกล่าว เชลซี ยังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในเกมฟุตบอลสโมสรยุโรป หลังไล่ถล่ม แชมร็อค โรเวอร์ส 5-1 ในศึกยูฟ่า…
ควันหลงจากเกมคาราบาว คัพที่สเปอร์สเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปได้สุดมันส์ 4-3 โดยในเกมนี้มาเรื่องดราม่ามากมายหลายประเด็น ในทุกคนรู้หรือไม่ว่าในระหว่างเกมที่เดือดไฟลุกแบบนี้มีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆสนามและนั้นก็ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่สำคัญนั้นคือก็ลูกโป่งสีเหลืองที่แฟนๆสเปอร์สร่วมกันชูขึ้น ว่าแต่ว่าลูกโป่งสีเหลืองคืออะไร พวกเขาส่งสัญญาณถึงใคร มาค่อยๆไล่เลียงกันไปครับ เกิดอะไรขึ้น? ย้อนกลับไปในวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมาเกิดการลักพาตัวประชาชนชาวอังกฤษขึ้นหลายคนไปฉนวนกาซา และหนึ่งในนั้นคือ Emily…