ชาร์ลี ออสติน : จากช่างก่ออิฐสู่ยอดดาวยิงพรีเมียร์ลีก

Maruak Tanniyom

May 02, 2024 · 2 min read

ชาร์ลี ออสติน : จากช่างก่ออิฐสู่ยอดดาวยิงพรีเมียร์ลีก
ฟุตบอล | May 02, 2024
ควันหลงวันแรงงานสากลกับเรื่องราวของช่างก่ออิฐ ที่ทำผลงานโดดเด่นจนได้โชว์ฝีเท้าในลีกสูงสุดแดนผู้ดี

อันที่จริงชีวิตของ ออสติน ก็เหมือนกับรถไฟเหาะ เพราะเขาเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของระบบของฟุตบอลอาชีพมาก่อน ด้วยการเป็นนักเตะเยาวชนเรดดิ้ง เอฟซี สโมสรในบ้านเกิด

ทว่า ตอนอายุ 14 เขากลับไม่ได้ไปต่อกับสโมสร ด้วยเหตุผลว่าตัวเล็กเกินไป ก่อนที่จะมาผิดหวังซ้ำ หลังได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่า ในช่วงที่กำลังทำผลงานได้ดีกับ คินต์บิวรี เรนเจอร์ส จนทำให้พลาดโอกาสไปอยู่กับ สวินดอน ทาวน์

แม้ว่า ออสติน จะตัดสินใจเล่นฟุตบอลต่อกับทีมแถวบ้านอย่าง ฮังเกอร์ฟอร์ด ทาวน์ แต่มันก็ห่างไกลจากที่เขาเคยฝันอย่างลิบลับ เพราะนี่คือทีมระดับดิวิชั่น 9 ของอังกฤษ จึงทำให้เขาลงเล่นแบบขอไปที

อย่างไรก็ดี จุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้นในปี 2008 หลังครอบครัวของเขาย้ายที่อยู่ไปเมืองบอร์นสมัธที่ทำให้เขาได้เซ็นสัญญากับ พูล ทาวน์ และกลับมาสนุกกับการเล่นฟุตบอลอีกครั้ง

ที่นี่ ออสติน กลายเป็นตัวแบกของทีม เขายิงไป 34 ประตูจาก 34 นัด ในเวสเซ็กซ์ลีก ลีกดิวิชั่น 9 แดนผู้ดี ก่อนจะยิงไปถึง 14 ประตูจาก 8 นัดในฤดูกาลต่อมา   

อย่างไรก็ดี แม้จะยิงประตูได้มากแค่ไหน แต่ค่าแรง 90 ปอนด์ (ราว 4,100 บาท) ต่อการลงเล่น 1 นัดกับ พูล ทาวน์ มันไม่พอยาไส้ ทำให้ ออสติน ต้องมีงานหลักเป็นช่างก่ออิฐ เพื่อหาเลี้ยงตัวเอง และให้นักฟุตบอลเป็นเพียงงานเสริมเท่านั้น

“เราซ้อมกันในวันอังคารและพฤหัสบดี จากนั้นค่อยมาลงแข่งในวันเสาร์” พีท สมิท อดีตเพื่อนร่วมทีมของออสติน ที่พูล กล่าวกับ itv

จนกระทั่งในปี 2009 โอกาสของ ออสติน ก็มาถึง เมื่อ บอร์นสมัธ ทีมระดับลีกทู (ดิวิชั่น 3) ในขณะนั้น สนใจในตัวเขาจึงเรียกมาทดสอบฝีเท้า ที่แม้ว่าจะไม่ได้เซ็นสัญญากับทีมเนื่องจากมีปัญหาทางการเงิน แต่สุดท้ายเขาก็ได้เข้าสู่ระบบอาชีพ หลัง สวินดอน ทาวน์ ทีมในลีกวันรับไปดูแลแทน

ผมไม่รู้ว่าเขาคาดหวังอะไรกับระดับของ พูล ทาวน์” ออสตินย้อนความหลังในวันที่ แดนนี วิลสัน กุนซือของ สวินดอน เข้ามาดูฟอร์มของเขา

“ผมคิดว่าเขาไม่รู้ว่าผมต้องทำงานตอนกลางวัน เป็นช่างก่ออิฐจนถึง 4 โมงครึ่ง แล้วค่อยขับรถอีกชั่วโมงจากสถานที่ทำงานในเมืองเบซิงสโต๊ค เพื่อมาแข่งฟุตบอล”

และ ออสติน ก็ตอบแทนความไว้ใจของ วิลสัน ด้วยการยิงไปถึง 19 ประตูจาก 33 นัดในลีกวัน ช่วยให้ทีมจบในพื้นที่เพลย์ออฟเลื่อนชั้น แต่น่าเสียดายที่การไปเวมบลีย์ครั้งแรกของเขาจบด้วยความผิดหวัง หลังพ่ายต่อมิลวอลล์ ในนัดชิงชนะเลิศ

แต่ถึงอย่างนั้น ออสติน ก็ยอมรับว่าซีซั่นแรกในฐานะนักเตะอาชีพเต็มตัว เป็นประสบการณ์ที่เขาลืมไม่ลง เพราะมันคือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในชีวิต โดยเฉพาะการต้องเล่นต่อหน้าแฟนบอลหลักสิบมาเป็นหลักพันหรือหลักหมื่นคน ที่แม้แต่ตัวเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ

“ผมเดินไปอบบอุ่นร่างกายและถูกเรียกกลับมา จากนั้นแฟนบอลก็ร้องเพลงที่มีชื่อของผมตอนที่ผมนั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง” ออสติน ย้อนความหลังในเกมพบ นอริช ซิตี้ ในฤดูกาล 2009-2010

“ผมคิดว่า ‘โอ้พระเจ้า มีแฟนบอล 25,000 คนในสนาม และมีแฟนบอล สวินดอน ราว 1,000 คนกำลังร้องเพลงที่เป็นชื่อของเด็กวัย 20 ปีที่เพิ่งทำงานในไซต์ก่อสร้างมา”  

แต่ที่ สวินดอน เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อในซีซั่นต่อมา ออสติน ยังคงรักษาฟอร์มเก่ง ยิงไป 12 ประตูจาก 21 นัด จนทำให้ เบิร์นลีย์ ทีมระดับแชมเปียนชิพ ควักเงินที่คาดว่าสูงถึง 1.4 ล้านปอนด์ กระชากตัวมาร่วมทีมในช่วงตลาดหน้าหนาว

แม้ฤดูกาลแรกกับ เบิร์นลีย์ จะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของเขา หลังยิงประตูไม่ได้เลยจากการลงเล่น 4 เกม แต่หลังจากปรับตัวได้ ดาวยิงจากนอกลีก ก็คืนฟอร์ม ด้วยการยิงไป 16 ประตูในฤดูกาล 2011-2012 และ 25 ประตูจาก 37 นัดในฤดูกาลต่อมา

จากผลงานดังกล่าวทำให้ ออสติน กลายเป็นแข้งเนื้อหอม และเกือบจะได้ย้ายไปค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับ ฮัลล์ ซิตี้ แต่น่าเสียดายที่ต้องอกหัก หลังตรวจร่างกายไม่ผ่าน

ทว่า เมื่อคู่กันแล้ว ก็คงไม่แคล้วกัน เมื่อสุดท้าย ออสติน ได้กลายเป็นนักเตะระดับพรีเมียร์ลีกจนได้ในอีก 2 ปีต่อมา เพียงแต่ในฐานะนักเตะของ ควีนพาร์ด เรนเจอร์ส ที่คว้าเขามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 4.5 ล้านปอนด์ ตั้งแต่ทีมอยู่ในแชมเปียนชิพ ก่อนที่เขาจะยิง 17 ประตู พาทีมคว้าแชมป์เพลย์ออฟ เลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ

แม้จะเปลี่ยนลีก แต่ความเก่งกาจของ ออสติน ก็ไม่เคยลดลง เมื่อเขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นของฤดูกาล หลังยิงไปถึง 18 ประตูจาก 35 นัดในลีกสูงสุด พร้อมรั้งอันดับ 4 ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก

จุดเด่นของ ออสติน นอกจากลูกกลางอากาศด้วยรูปร่างที่สูงถึง 188 เซนติเมตรแล้ว เขายังเป็นกองหน้าที่มีสัญชาติญาณการทำประตูที่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะการอยู่ถูกที่ถูกเวลา และความมั่นใจ ที่ทำได้ดีมาตั้งแต่สมัยเล่นนอกลีก จนมาถึงระดับพรีเมียร์ลีก

“ในฐานะผู้เล่น เขายังคงเล่นเหมือนเดิม เขาไม่ได้กลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยทักษะในทันที และไม่มีวันเป็นอย่างนั้น เขามีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก และนั่นก็คือหนึ่งในทรัพยากรสำคัญของเขา” พีท สมิธ อธิบาย

“ชาลี ไม่ได้เป็นผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดตอนที่อยู่กับ พูล เขาเป็นเหมือนแกรี ลินีเกอร์ ที่อยู่ถูกที่ถูกเวลา สิ่งสำคัญที่สุดที่ชาลี ได้เรียนรู้คือ เขาจะให้บอลห่างตัวไม่ได้ เมื่อก้าวผ่านขึ้นมาในแต่ละดิวิชั่น”   

แต่นั่นก็เป็นเหมือนจุดสูงสุดในฐานะนักเตะอาชีพของ ออสติน เมื่อฤดูกาลดังกล่าว คิวพีอาร์ ต้องกระเด็นตกชั้น และแม้ว่าเขาจะได้กลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก กับ เซาแธมป์ตัน และ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน แต่ก็ไม่ได้มีผลงานที่น่าจดจำ จนต้องย้ายกลับมาเล่นกับ สวินดอน ทาวน์ ในลีกทู ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี เรื่องราวของ ออสติน ก็เป็นแรงบันดาลใจชั้นเยี่ยมให้กับนักเตะจากนอกลีกเสมอมา ทั้งการไม่ยอมแพ้ และพยายามไล่ตามความฝันจนถึงที่สุด

เพราะสำหรับ ออสติน หากเขารู้สึกล้มเลิกเมื่อใด มันจะทำให้เขานึกย้อนไปถึงช่วงวัยรุ่น ที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน ที่ได้มายืนในจุดนี้   

“วันหนึ่งตอนอายุ 17 ผมทำงานอยู่ในที่ที่เรียกว่าโอเวอร์ตัน” ออสติน กล่าวกับ The Guardian

“พอบ่าย 2 โมง เราก็ชุ่มไปทั้งตัว ผมก็รู้สึกหมดแรงแล้ว ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว แถมตัวยังเต็มไปด้วยโคลน”

“ดังนั้นถ้าแวบหนึ่งผมรู้สึกเบื่อกับฟุตบอล ผมจะคิดย้อนกลับไปในวันนั้น และเตือนตัวเองว่าผมมีชีวิตดีที่สุดในโลกแล้วในตอนนี้”