แดนนี่ เมอร์ฟี่ย้อนความทรงจำ ! ฝันสลายใน ฟุตบอลโลก 2002
ความใฝ่ฝันของนักฟุตบอลทุกคนก็คือการได้โอกาสเป็นตัวแทนของชาติไปผจญภัยโลดแล่นสัมผัสประสบการณ์ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่เพื่อล่าความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลโลก, ยูโร หรือแม้แต่ โคปา อเมริกา เป็นต้น
แต่หนึ่งในแข้งดังที่ไม่เคยได้โอกาสตรงนั้นเลยก็คืออดีตนักเตะของ ลิเวอร์พูล อย่าง แดนนี่ เมอร์ฟี่ ถึงจะไม่ใช่เด็กที่เกิดมาจากอคาเดมี่โดยตรง แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่โตมาพร้อมๆ กับพวก ไมเคิ่ล โอเว่น, สตีเว่น เจอร์ราร์ด รวมไปถึง เจมี่ คาร์ราเกอร์ และอีกหลายๆ คน
แดนนี่ เล่าให้ฟังถึงความทรงจำอันเลวร้ายสำหรับการระบใช้ ทีมชาติอังกฤษ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้โอกาสไปเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่เลยสักครั้ง
“ผู้เล่นหลายๆ คนได้ช่วยให้ ทีมชาติอังกฤษ กลายเป็นชาติที่น่าหลงใหล และอยู่ในความทรงจำ แต่ผมไม่ใช่หนึ่งในนั้น”
“นั่นอาจเป็นเพราะความแตกต่างของระดับผู้เล่นด้วยมั้ง ยกตัวอย่าง แฮร์รี่ เคน หรือ จู๊ด เบลลิงแฮม พวกเขารู้ดีว่าตราบใดที่พวกเขาฟิตสมบูรณ์ก็จะได้ไปเล่นฟุตบอล ยูโร แน่นอน”
“นอกจากนี้ก็ยังมีพวกที่ไม่ได้ติดท็อปเทียร์ แต่ด้วยความสม่ำเสมอ หากเขามีผลงานที่ดีก็จะได้ติดทีมไปแน่นอน อาทิเช่น แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เป็นต้น”
“ท้ายที่สุดแล้วคนที่อยู่รอบนอก คนที่ไม่ได้ถูกเลือกเสมอๆ ก็อาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการสนทนาเผื่อว่ามีผลงานที่เข้าตาหรือมีคนที่ได้รับบาดเจ็บ”
“ซึ่งนั่นคือตัวผม ผมได้สัมผัสกับการติด ทีมชาติอังกฤษ ก่อนศึก ฟุตบอลโลก ปี 2002 แต่ก็รู้ดีว่าคงไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง”
“ผมคิดอยู่ว่าบางทีผมอาจจะคิดผิดไปรึเปล่าว่าผมนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับคนอื่น ผมเชื่อมั่นในตัวเองนะ แต่ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าผมมีสิทธิ์จะได้โอกาสไปอยู่ที่นั่น”
“ดังนั้นมันไม่เคยเป็นสิ่งที่ครอบงำจิตใจผม ทีมชาติอังกฤษ เป็นสิ่งที่พิเศษเสมอ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมใส่ใจเท่าไหร่ ผมมักจะโฟกัสกับการเล่นให้ ลิเวอร์พูล และอยู่กับทีม ส่วนเรื่องอื่นๆ นอกนั้นถือว่าเป็นโบนัส”
“ผมอยู่ที่บ้านตอน สเวน โกรัน อีริคส์สัน โทรมา เขาผมให้ผมสแตนด์บายสำหรับศึก ฟุตบอลโลก ความผิดหวังที่มีตอนนั้นมันเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าผมก็เป็นตัวเลือกในใจของ สเวน ด้วย เพราะ 2 ปีก่อนหน้านั้นผมไม่เคยติด ทีมชาติอังกฤษ เลย และผมก็ทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น”
“จากนั้นผมก็รับโทรศัพท์จาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด หนึ่งในเพื่อนที่ดีที่สุดของผม เขาต้องหลุดโผไปเพราะอาการบาดเจ็บ มันเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นสำหรับผม ผมเสียใจกับ สตีวี่ นะ แต่ผมก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปบอลโลก ผมตื่นเต้นมาก เราไป ดูไบ กันเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนทัวร์นาเมนต์ ผมดีใจสุดๆ ไปเลย”
“หลังไปเก็บตัวที่ ดูไบ เราได้เล่นเกมอุ่นเครื่อง 2-3 นัด ผมได้ลงตัวจริงเกมสุดท้ายที่เจอ เกาหลีใต้ ผมเล่นได้ดีเลย และด้วยนักเตะบาดเจ็บที่เรามีผมก็คิดว่ามันคงเป็นโอกาสของผมแล้วแหละ”
“แต่จากนั้นผมก็ดันมานิ้วหัก มันเกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายของการฝึกซ้อมของวันต่อมาเมื่อผมกระโดดขึ้นไปโหม่งและลงน้ำหนักขาผิด”
“ผมรู้ว่าตอนนั้นมันสาหัสมาก แต่ผมก็พยายามมั่นใจในตัวเองว่าต้องไม่เป็นไร แต่ผมไม่สามารถลงน้ำหนักไปที่มันได้”
“ผมต้องรอทราบผลอีก 2 วัน นั่นคือเรื่องที่ยากลำบาก ผมต้องโทรศัพท์กลับไปที่บ้านเพื่อบอกกับคนรักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในเส้นทางอาชีพของผม ฟุตบอลโลก มีแค่ทุกๆ 4 ปี และผมก็รู้ดีว่าผมไม่ใช่ เดวิด เบ็คแฮม ไม่ใช่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด”
“ตอนผมกลับไปโรงแรม คนแรกที่ผมเจอก็คือ เดวิด เบ็คแฮม เขาเดินมาหาผมแล้วพูดว่า ‘เราเสียใจกับนายด้วยนะ’ เขาพูดเสร็จก็เอามือวางบนไหล่ผมและบีบเบาๆ ซึ่งสื่อได้ว่า ‘เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก’ “
“ผมถึงขั้นต้องพาตัวเองออกไปและใช้เวลาอยู่ตัวคนเดียว ผมไม่เคยได้รับบาดเจ็บแบบสาหัสเลย และผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์ที่ต้องสูญเสียช่วงเวลาสำคัญเพราะอาการบาดเจ็บ”
“และคนที่มาแทนผมก็คือ เทรวอร์ ซินแคลร์ เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงทุกนัดยกเว้นเกมนัดแรก”
“เมื่อมองย้อนกลับไปจากตอนนี้ ผมพยายามจะให้บริบทแก่มัน ผมค้าแข้งมากว่า 20 ปี และไม่เคยต้องเข้ารับการผ่าตัดเลย ผมไม่เคยอยู่ในช่วงเวลาแห่งความืดมนของการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในระยะยาว”
“ผมแค่โฟกัสไปแต่เรื่องดีๆ เพราะมันมีอยู่มากมายรอบตัวคุณ แม้ว่าผมจะพลาดโอกาสใน ฟุตบอลโลก ก็ตาม”
นี่ก็คือเรื่องราวที่เลวร้ายที่สุดของ แดนนี่ เมอร์ฟี่ ในช่วงเส้นทางค้าแข้งที่ผ่านมา ฟุตบอลโลก 2002 คือโอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับเขา เพราะหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้โอกาสเล่นในทัวร์นาเมนต์ไหนๆ อีกเลย เขาได้โอกาสติดธงทัพ “สิงโตคำราม” แค่ 9 นัด และครั้งสุดท้ายก็คือปี 2003 วันที่ 11 พฤศจิากยน ในนัดที่แพ้ เดนมาร์ก 2-3 และได้ลงเล่นแค่ 14 นาทีเท่านั้น
Picks and Pick'em is here!
More teams, more wins. Join a public league and draft instantly.