อภิสิทธิ์จากพ่อ : วันที่ลูกชายกัดดาฟีได้เป็นนักเตะเซเรียอา

Maruak Tanniyom

April 09, 2024 · 2 min read

อภิสิทธิ์จากพ่อ : วันที่ลูกชายกัดดาฟีได้เป็นนักเตะเซเรียอา
ฟุตบอล | April 09, 2024
พบกับการผจญภัยในเซเรียอาของ ซาอาดี ในแบบที่ไม่มีใครเลียนแบบได้

แม้ว่า กัลโช เซเรียอา อาจจะไม่ใช่ลีกยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก ทว่าครั้งหนึ่งลีกแห่งแดนมะกะโรนีก็เคยเป็นลีกในฝันที่นักเตะหลายคนอยากมาสัมผัส 

เช่นกันสำหรับนักเตะทีมชาติลิเบีย ซาอาดี กัดดาฟี ที่สุดท้ายเขาได้มาเล่นในลีกแห่งนี้ หลังย้ายมาร่วมทีมเปรูจา ในปี 2003 

อย่างไรก็ดี การมาถึงของเขาก็เต็มไปด้วยข้อกังขา และหนึ่งในสิ่งที่ถูกจับจ้องมากที่สุดคือการเป็นลูกชายของ มูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำจอมเผด็จการแห่งลิเบีย 

อันที่จริง ซาอาดี ก็ไม่ต่างจากผู้หลงใหลในเกมลูกหนังทั่วไป เมื่อเขาเริ่มเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก ทว่า กว่าจะได้เริ่มต้นในฐานะนักเตะอาชีพเขาก็อายุ 27 ปีแล้ว หลังเซ็นสัญญากับ อัล อาห์ลี ตริโปลี ในปี 2000 และย้ายไปเล่นให้ อัล อัดติฮัด ทริโปลี ในฤดูกาลต่อมา 

อย่างไรก็ดี สมัยค้าแข้งในประเทศ ซาอาดี ต่างจากนักเตะคนอื่น เมื่อสถานะของ “ลูกชายท่านผู้นำ” ทำให้เขามีอภิสิทธิ์เหนือทุกคน 

ไม่ว่าจะได้เป็นกัปตันทีมชาติลิเบีย, การเป็นนักเตะคนเดียวในลีกที่มีชื่ออยู่บนเบอร์เสื้อ ไปจนถึงการที่คนพากษ์ต้องใช้วิธีเรียกเบอร์เสื้อแทนชื่อผู้เล่น ทั้งเพื่อนร่วมทีมและนักเตะคู่แข่ง เพื่อเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าหมิ่นตระกูลของผู้ปกครองประเทศ 

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ตอนที่ ซาอาดี ย้ายมาเล่นใน เปรูจา ก็เกิดคำถามมากมาย เพราะนอกจากเขาจะอายุ 30 ปีแล้ว ฝีเท้าของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น 

ขณะเดียวกัน การเซ็นสัญญากับ ซาอาดี ยังถูกประท้วงจากสหประชาชาติ เนื่องจาก มูอัมมาร์ พ่อของเขา อยู่เบื้องหลังการก่ออาชญากรรม วางระเบิดสายการบินแพนแอมไฟลท์ 103 เมื่อปี 1988 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 270 ราย 

มันถึงขั้นมีทฤษฎีสมคบคิดว่า การที่ ซาอาดี ได้มาสวมเสื้อเปรูจา เป็นเพราะการผลักดันของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี นายกรัฐมนตรีอิตาลีในตอนนั้น ด้วยความหวังว่าจะสามารถปูทางไปถึงการเชื่อมสัมพันธ์ทางการค้า เนื่องจากลิเบีย มีน้ำมัน ทรัพยากรสำคัญที่อิตาลีต้องการ 

แต่ ริคาร์โด กาอุชชี ลูกชายของ ลูชาโน กาอุชชี ประธานสโมสร ก็ออกมาปฎิเสธทฤษฎีนี้ เขายอมรับว่าแม้พ่อของเขา จะมีสายสัมพันธ์กับนักการเมือง แต่การคว้าตัว ซาอาดี เป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวมากกว่า 

“แรงจูงใจที่สำคัญที่สุดคือไอเดียนี้เป็นการโฆษณาที่ดีกว่าวิธีไหน การดึงตัวกัดดาฟี เข้ามาจะทำให้ถูกพูดถึง และมันน่าจะเป็นโฆษณาที่ดี มันจะอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน และทุกวันบนทีวี สิ่งนี้สำหรับพ่อของผม มันจะทำให้เขามีความสุข” กาอุชชี คนลูกกล่าวกับ Bleacher Report 

“วันหนึ่งเขาเพียงคิดว่า ‘ทำไมเราไม่จ้างลูกชายของผู้นำลิเบียมาเล่นฟุตบอลดูล่ะ’ และซาอาดี ก็ใช่ตั้งแต่เริ่มต้น มันทำให้เขาพอใจจากไอเดียนี้” 
 
ซาอาดี เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในคฤหาสถ์ของ กาอุชชี ท่ามกลางนักข่าวทั่วโลกนับร้อยคน นอกจากนี้เขายังมีกองถ่ายจาก อัล จาซีรา สื่อชื่อดังของอาหรับ คอยตามติดถ่ายชีวิตความเป็นอยู่ในทุกฝีก้าวในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 

“มันเหมือนกับรายการเรียลลิตี้โชว แต่หลังจากนั้นสักพักก็จะเริ่มชิน เขากลายเป็นนักฟุตบอลเหมือนกับเรา” เอ็มมานูเอล แบร์เร็ตโทนี อดีตนักเตะของเปรูจากล่าว 

นอกจากนี้ ด้วยความเป็นลูกมหาเศรษฐี มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุดหรูที่อิตาลี โดยไม่ต้องแคร์สายตาผู้ใด 

“ผมจำได้ว่าเย็นวันหนึ่งเขามีปัญหา ผมคิดว่าเขาน่าจะปวดหู และอย่างที่คิดไว้ เขาเรียกหมอที่ดีที่สุดจากอิตาลีมาตรวจ หมออยากดูอาการเขา เขาจึงนั่งเฮลิค็อปเตอร์ไปมิลานในตอนเช้าวันถัดมา (ระยะทางประมาณ 225 ไมล์) ภายในครึ่งวัน เขาทำทุกอย่างให้เรียบร้อยที่นั่น และกลับมาซ้อมในตอนบ่าย” 

“เขาทำทุกอย่างได้หมดที่นักเตะคนอื่นไม่น่าทำได้ ไม่มีทีมไหนที่จะฝันถึงเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันหนึ่งถึงเช้าของอีกวัน นัดหมอที่ดีที่สุดของอิตาลี พานักเตะบินไปพบ และจัดการเรื่องให้เสร็จภายในครึ่งวัน” 

ลูกชายของกัดดาฟี มักจะมาสนามพร้อมกับแลมโบกินีสีเหลือง โดยมีการ์ดเดินตามเป็นพรวน อีกทั้งยังได้รับการดูแลจากตำรวจท้องถิ่น ที่จะลาดตระเวนรอบสนามซ้อม และคอยตรวจตราเช็คความปลอดก่อนเปรูจาลงเล่น 

ส่วนที่พักเขาไม่ได้ซื้อบ้าน แต่ใช้วิธีจองชั้นบนสุดของโรงแรม บรูฟานี ฟาเลซ โรงแรมระดับ 5 ดาวที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองทั่วทั้งเมือง รวมถึงมีห้องส่วนตัวสำหรับสุนัขพันธ์โดเบอร์แมน 2 ตัว และเทรนเนอร์คู่กาย

แม้จะใช้ชีวิตอย่างสุดหรู แต่ ซาอาดี ก็มีเพื่อนสนิทที่เป็นนักเตะเช่นกันนั่นก็คือ ซัลวาตอเร เฟรซี ที่ย้ายมาอยู่กับเปรูจา ช่วงกลางฤดูกาลในปีแรกที่ซาอาดีย้ายมา ทั้งสองมักจะใช้เวลาด้วยกันยามอยู่นอกสนาม ทั้งหาอะไรกินง่ายๆ ข้างทาง ไปจนถึงเล่นฟุตบอลโต๊ะ ทว่า บางครั้งมันก็ไกลกว่าคำว่าธรรมดา 

“วันพุธ เรามีซ้อมสองช่วง บางครั้งหลังจากเสร็จช่วงที่สอง เขาพูดกับผมเป็นภาษาอิตาลีว่า ‘เย็นนี้นายมากับฉัน’ เพราะว่าเขารู้แค่วิธีพูดแบบนั้น จากนั้นเขาจะให้บอดีการ์ด (ที่พูดได้ทั้งอังกฤษและอิตาลี) อธิบายว่า ‘เย็นนี้เราจะไปมิลาน’” เฟรซีกล่าว  

“เขามีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวที่สนามบินเปรูจา ดังนั้นเขาจึงสามารถพาคุณไปดินเนอร์ที่มิลาน จากนั้นตอนเช้าก็กลับมาที่นี่ด้วยเครื่องบิน แค่กินข้าวเย็นด้วยกัน ในโรงแรมสวยๆ บางครั้งก็มีเพื่อนของเขาด้วย เราเป็นเพื่อนกันนอกสนาม” 

“เขาเล่าให้ผมฟังเรื่องตอนที่เขาไปเที่ยวโรม เขาออกไปเดินข้างนอก และเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบาย เขาท้องไม่ค่อยดี เขาแก้ปัญหาอย่างไร เขาเดินไปในโรงแรมและจองห้องหนึ่งห้อง เพียงแค่เข้าไปใช้ห้องน้ำ เขากังวลที่จะถามคนในร้านอาหาร เขาจึงจ่ายค่าห้อง เขาไปใช้มันแล้วออกมา”

แต่ถึงอย่างนั้นในเรื่องฟุตบอลเขาก็ตั้งใจอย่างเต็มที่ เขามักจะขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมทีม หรือจ้าง เบน จอห์นสัน อดีตนักวิ่ง 100 เมตรของแคนาดา ที่ได้เหรียญทองในโอลิมปิก 1988 มาช่วยซ้อมวิธีวิ่ง รวมถึงจ้าง ดิเอโก้ มาราโดนา มาช่วยสอนเรื่องเทคนิค 

แม้จะทัศนคติที่ดี แต่มันก็ไม่อาจชดเชยกับความสามารถที่จำกัด เพราะร่างกายของ ซาอาดี ไม่ได้ถูกฝึกฝนมาเพื่อเป็นนักเตะอาชีพตั้งแต่เด็ก ทำให้ความสามารถของเขาแตกต่างจากเพื่อนร่วมทีมอย่างเห็นได้ชัด 

“การเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่สุดคือ เด็กอายุ 13 ที่ถูกส่งไปอยู่ในกลุ่มที่สูงกว่า เขาพยายามอย่างเต็มที่เต็มร้อย แต่เขาทำไม่ได้ เขามักจะเจ็บกล้ามเนื้ออยู่เสมอ” เฟรซีอธิบาย

ด้วยเหตุนี้ทำให้ตำแหน่งประจำของ ซาอาดี คือม้านั่งสำรอง แถมสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลง เมื่อตรวจพบว่าเขาใช้สารกระตุ้น จนถูกแบนถึง 3 เดือน ทว่าเมื่อกลับมา เขาก็ยังเหมือนเดิม คือทำได้เพียงดูเพื่อนเล่นจากข้างสนาม 

กว่าที่ ซาอาดี จะได้รับโอกาส ก็ต้องรอถึงครึ่งฤดูกาล หลังถูกเปลี่ยนตัวลงไปช่วง 15 นาทีสุดท้ายในเกมกับ ยูเวนตุส ทีมที่ครอบครัวของเขาถือหุ้นอยู่ โดยตอนนั้น เปรูจา เป็นฝ่ายออกนำ 1-0 และมีตัวผู้เล่นมากกว่าหนึ่งคน 

แต่ ซาอาดี ก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก มีแค่จังหวะพยายามแย่งบอลจาก พาเวล เนดเวด แค่นััน จนทำให้ Gazzetta dello Sport ล้อเลียนว่ามันเป็นวิธีที่ทำให้ตัวผู้เล่นเท่ากันของเปรูจา พร้อมระบุว่านี่อาจจะเป็นเงื่อนไขในสัญญา แต่เฟรซี ก็แย้งว่าเขาได้รับการตอบแทนจากความตั้งใจของเขาเอง 

“มันเป็นความปรารถนาของพวกเราที่อยากเห็นเขาลงเล่น เราอยากให้รางวัลเขาที่ทำงานหนัก ผมและนักเตะคนอื่นบางคนเข้าไปเจอกับบอสเป็นการส่วนตัว เพื่อขอร้องให้เขาได้ลงเล่น” เฟรซี อธิบาย 

ซาอาดี ยังมีโอกาสเล่นในลีกอิตาลีต่อไป หลังย้ายไปร่วมทีม อูดิเนเซ่ ในปี 2005 แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงอยู่ดี ทำให้บางครั้งเขาเอาเวลาว่างในช่วงนั้น กลับลิเบีย เพื่อไปทำธุรกิจที่บ้านเกิด 

เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นมากนักก็คือคุณภาพของฝีเท้า เพราะแม้ว่า ซาอาดี จะเข้าใจในเกมลูกหนังมากแค่ไหน แต่ความสามารถเขายังไม่เพียงพอที่จะเป็นมืออาชีพ 

“ซาอาดี มีเซนส์ว่าฟุตบอลทำงานอย่างไร เขารู้ว่าจะทำอย่างไร เมื่อมีบอลอยู่ที่เท้า และคุณรู้ไหม เท้าซ้ายของเขา มันไม่ได้แย่เลยจริงๆ ถ้าเขาได้บอลและอยากจะจ่ายยาวๆสวยๆ เขาก็ทำได้” วาเรริโอ เบอร์ต็อตโต กัปตันอูดิเนเซ กล่าว

“แต่ร่างกายของเขาไม่ได้มีโครงสร้างสำหรับเล่นฟุตบอล เขาไม่มีกำลัง เขาไม่มีความอึด เขาไม่เร็ว ถ้าคุณขาดคุณลักษณะทางร่างกายที่มีคุณภาพ คุณก็จะเป็นนักฟุตบอลไม่ได้ ดังนั้นไม่เลย เขาไม่ได้เป็นนักฟุตบอล เขาคือแฟนบอลที่มีโอกาสได้เป็นนักฟุตบอลในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เขาไม่ได้เป็นนักฟุตบอลจริงๆ”

ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี บนลีกสูงสุดของอิตาลี ซาอาดี ได้รับโอกาสลงสนามไป 4 เกม (เซเรียอา 2, อิตาเลียนคัพ 2) รวมทั้งสิ้น 69 นาที ก่อนที่เขาจะตกเป็นผู้ต้องหา หลังการปฏิวัติลิเบียในปี 2011 จนต้องหนีไปไนเจอร์ และโดนจับกุมในปี 2014 

แต่สุดท้าย ซาอาดี ก็พ้นผิด และถูกปล่อยตัวในปี 2018 ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่ตุรกี และมีข่าวลือล่าสุดเมื่อปี 2023 ว่าเขาเตรียมจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของลิเบีย เหมือนกับพ่อของเขา 

แหล่งอ้างอิง 

https://english.aawsat.com/features/4617141-12-years-after-gaddafi%E2%80%99s-death-what-do-we-know-about-his-family 

https://thelab.bleacherreport.com/dreams-of-a-dictator-s-son/

Football and the Gaddafi Family