วาตารุ เอ็นโด ทำอย่างไร จึงสู้กับความแข็งแกร่งของพรีเมียร์ลีกได้ ?

Kim Junumporn

March 11, 2024 · 1 min read

วาตารุ เอ็นโด ทำอย่างไร จึงสู้กับความแข็งแกร่งของพรีเมียร์ลีกได้ ?
ฟุตบอล | March 11, 2024
ทั้งที่มีส่วนสูงแค่ 178 เซนติเมตร แต่เพราะเหตุใด กัปตันทีมชาติญี่ปุ่น จึงสามารถยืนหยัดอยู่ในลีกอันโหดหินอย่างพรีเมียร์ลีกได้

แม้ว่าจะจบลงด้วยผลเสมอ แต่หนึ่งในนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในเกมระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือ วาตารุ เอ็นโด กองกลางเลือดซามูไรของทัพหงส์แดง 

ตลอด 90 นาทีในสนาม กัปตันทีมชาติญี่ปุ่นสามารถจัดการคู่แข่งได้อยู่หมัด ด้วยสถิติแทคเกิลชนะ 100 เปอร์เซ็นต์ (4 จาก 4 ครั้ง) ตัดบอลได้ 2 ครั้ง เก็บตกบอลได้อีก 6 ครั้ง ดวลชนะบนพื้น 4 จาก 5 ครั้ง กลางอากาศ 2 จาก 2 ครั้ง รวมถึงจ่ายบอลสำเร็จ 96 เปอร์เซ็นต์ 

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน แทบไม่น่าเชื่อว่าสถิติเหล่านี้ จะมาจากนักเตะชาวญี่ปุ่น ที่แม้จะขึ้นชื่อในเรื่องเทคนิค แต่ในเรื่องร่างกายถือเป็นจุดด้อย ต่างจากแข้งเกาหลี เมื่อเทียบกับนักเตะจากเอเชียด้วยกัน และยากจะเอาตัวรอดในลีกที่เน้นสภาพร่างกายอย่างพรีเมียร์ลีก 

และสิ่งที่ทำให้ เอ็นโด ยืดหยัดอยู่ได้ ก็คือวิธีการเล่นที่ชาญฉลาด เนื่องจากเขามีรูปร่างที่ค่อนข้างเล็ก ด้วยส่วนสูงเพียง 178 เซนติเมตร การจะเอาชนะตรงๆ จึงเป็นสิ่งที่ยากมาก 

เอ็นโด จึงใช้วิธีศึกษานักเตะของคู่แข่งอย่างละเอียด ทั้งในเกมรุกและเกมรับ เขาจะดูว่านักเตะตรงข้ามเล่นอย่างไร ถนัดเท้าไหน แล้วหาจังหวะเขาไปปะทะอย่างแม่นยำ หรือ กระโดดแย่งบอลในจุดที่ได้เปรียบ รวมไปถึงจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีม

“ในเชิงร่างกายมันยากกว่าบุนเดสลีกามาก ทีมในพรีเมียร์ลีก มีนักเตะที่แข็งแกร่งมากเป็นรายบุคคล ดังนั้นมันจึงแตกต่างกันมาก อีกทั้งจังหวะก็ต่างไปเล็กน้อย มันเร็วกว่าด้วย” เอ็นโดกล่าวกับ Liverpool Echo 

“ที่บุนเดสลีกา ไม่มีใครมีเวลามากพอที่จะสัมผัสบอลหลายครั้ง แต่ที่นี่ผมต้องเล่นบอลจังหวะเดียว และใช่ผมต้องเปลี่ยนวิธีคิด และดูว่าคู่แข่งจะเข้ามาทางไหน ถ้าผมอยากเล่นในตำแหน่งหมายเลข 6 ที่นี่” 

อันที่จริง เขาโดดเด่นในเรื่องนี้มาตั้งแต่เล่นให้ สตุ๊ตการ์ท ในบุนเดสลีกา (ตั้งแต่ปี 2021-2023) ด้วยการเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่เอาชนะในพื้นที่สุดท้ายในแนวรับได้มากที่สุด (254 ครั้ง) รวมถึงเอาชนะลูกกลางอากาศได้มากที่สุดด้วยจำนวน 219 ครั้ง 

นอกจากนี้ เอ็นโด ยังเป็นผู้เล่นที่เคลียร์บอลได้มากที่สุดในบุนเดสลีกา ที่ 175 ครั้ง โดยเป็นการเคลียร์บอลด้วยลูกโหม่งถึง 105 ครั้ง อีกทั้งยังเข้าปะทะมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีกสูงสุดเมืองเบียร์ (208 ครั้ง) 

และแม้จะย้ายลีก แต่ เอ็นโด ก็ไม่ลืมที่จะนำสิ่งนี้มาปรับใช้ เพราะแม้ช่วงแรก เขาจะเผชิญกับความยากลำบาก หลังได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเพียง 2 นัดจาก 15 เกม แต่การเป็นตัวสำรอง ก็ทำให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้ ทั้งทีมของตัวเองและคู่แข่งมากกว่าใคร 

“มันยากกว่าที่ผมคิดมาก แต่ผมก็ดีใจที่ได้อยู่ตรงนี้” เอ็นโดกล่าว

“ในเชิงกายภาพมันเร็วมาก ดังนั้นมันจึงยากในการปรับตัว แต่มันก็คือพรีเมียร์ลีก และผมก็พยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ลงเล่น ผมก็จะดีขึ้น”

“ทุกครั้งผมจะพยายามช่วยลิเวอร์พูลเล่น และแน่นอนผมได้ดูสิ่งที่พวกเขาทำจากม้านั่งสำรอง ผมคิดว่ามันคือสิ่งสำคัญมาก และผมก็ดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ”

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ เอ็นโด ก้าวมาถึงจุดนี้คือความอึด เขาสามารถวิ่งพล่านไปทั่วสนามตั้งแต่หน้าปากประตูตัวเองจนถึงประตูของคู่แข่ง ที่ทำให้เขาวิ่งเฉลี่ยต่อ 90 นาที มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของทีม ที่ 12.17 กิโลเมตร 

ขณะเดียวกัน เขาเพิ่งจะทำลายสถิติกลายเป็นนักเตะคนแรกของ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ฤดูกาล 2005/06 ที่ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงถึง 5 เกม ในรอบ 13 วัน ในช่วงเดือนธันวาม 2023 หลังถูกส่งลงสนามตั้งแต่นาทีแรกในเกมกับ ยูเนียน เอสจี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เวสต์แฮม, อาร์เซนอล และเบิร์นลีย์ 

ด้วยเหตุนี้จึง นักเตะจากแดนอาทิตย์อุทัย สามารถเอาชนะข้อเสียเปรียบในเรื่องร่างกาย และต่อสู้กับกองกลางอันโหดหินของพรีเมียร์ลีกได้แบบไม่น้อยหน้า จนกลายเป็นหนึ่งในกลจักรสำคัญของ เจอร์เกน คล็อป ในการลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้ไปแล้ว