โคชิเอ็ง เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในการแข่งขันเบสบอลสมัครเล่นที่โด่งดังที่สุดในโลก ด้วยจำนวนผู้ชมระดับหลายหมื่นคน ที่เข้าไปเชียร์ถึงขอบสนามเป็นประจำทุกปี
ทว่า ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิทหารนิยมของญี่ปุ่น แล้วทั้งสองสิ่งที่ดูไม่จะเข้ากันนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร?
อันที่จริง สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว เบสบอล ถือเป็นกีฬายอดนิยมของพวกเขา มันเข้ามาในดินแดนอาทิตย์อุทัยตั้งแต่ทศวรรษที่ 1870 ก่อนจะแพร่กระจายผ่านโรงเรียนและมหาวิทยาลัย และเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ
สำหรับเหตุผลที่กีฬาจากตะวันตกชนิดนี้ได้รับการโอบรับจากชาวญี่ปุ่น เนื่องมาจากการดวลกันระหว่างพิชเชอร์และแบตเตอร์ มีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกับการดวลดาบของซามูไร
“ชาวญี่ปุ่นพบว่าการดวลกันแบบตัวต่อตัวระหว่างคนขว้างและคนตี คล้ายกับการใช้จิตวิทยาในกีฬาอย่างซูโม หรือศิลปะการต่อสู้” โรเบิร์ต ไวท์ติง ผู้เชี่ยวชาญด้านเบสบอลญี่ปุ่นกล่าว
“มันเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่แยกออกเป็นสองและความกลมกลืนระหว่างความแข็งแกร่งทางร่างกายและจิตใจ ด้วยเหตุนี้กระทรวงศึกษาฯ จึงเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่จะใช้กำหนดคาแร็คเตอร์ของชาติ”
พวกเขามีการแข่งขันเบสบอลชิงแชมป์ทั่วประเทศครั้งแรกในปี 1915 แต่ตอนนั้นยังไม่ได้ใช้ชื่อว่า โคชิเอ็ง เนื่องจากแข่งกันที่สนาม โทโยนากะ จังหวัดโอซากา ก่อนที่ 10 ปีต่อมา จะย้ายมาที่สนามโคชิเอ็ง จังหวัดเฮียวโงะ ที่ทำให้รายการนี้มีชื่อเล่นว่า “โคชิเอ็ง” นับตั้งแต่นั้น
หลังจากนั้น โคชิเอ็ง ก็เป็นเหมือนอีเวนท์สำคัญ ที่จัดขึ้นในช่วงฤดูร้อนของทุกปี โดยมีจำนวนทีมที่เข้าร่วมเพิ่มจากหลักสิบ ไปจนถึงหลักร้อย และแตะหลักครึ่งพันในปี 1930 กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ทุกคนต่างเฝ้าคอย
อย่างไรก็ดี โคชิเอ็ง ต้องมีอันพักเบรกชั่วคราวในปี 1941 เมื่อจักรวรรดิญี่ปุ่น จำเป็นต้องระดมพลเพื่อทำศึกสงครามจีน-ญี่ปุ่น บวกกับการออกกฎห้ามนักเรียนเดินออกนอกเขตพื้นที่เกินสองจังหวัดในปีดังกล่าว
“สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 กำลังตึงเครียดขึ้นมาทุกขณะ เพื่อชนะสงคราม เราต้องดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบเพื่อขนส่งยุทโธปกรณ์ทางการทหารและของดำรงชีพในการสร้างทางรถไฟในประเทศ คนทั่วไปจึงไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล การเดินทางไปแข่งเบสบอลชิงแชมป์แห่งชาติจึงไม่สามารถทำได้” ประกาศจากทางการ
ทว่า แม้ว่าในปีต่อมา ญี่ปุ่น จะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 เต็มตัว แต่พวกเขาก็หวนกลับมาจัด โคชิเอ็ง อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่าง กระทรวงศึกษาธิการ สมาคมกีฬานักเรียนจักรวรรดิญี่ปุ่น และหนังสือพิมพ์อาซาฮี ในรูปแบบที่ต่างออกไป
เริ่มตั้งแต่ชื่อการแข่งขันที่เปลี่ยนจาก “การแข่งขันเบสบอลโรงเรียนมัธยมระดับกลางชิงแชมป์แห่งชาติ” มาเป็น “การแข่งขันเบสบอลและการฝึกฝนทางร่างกายโรงเรียนแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น”
ขณะที่โทนสีของการแข่งขัน ก็ใช้โทนเดียวกับทหาร หรือคำที่ใช้เรียกนักกีฬาก็เปลี่ยนไปใช้คำว่า Senshi (選士) ซึ่งเป็นการผสมคำระหว่าง นักกีฬา (選手) และนักรบ (武士) ไปจนถึงห้ามใช้คำว่า บอล หรือ สไตรท์ ในการแข่งขัน เนื่องจากเป็นคำที่มาจากตะวันตก
อีกทั้ง พวกเขายังพยายามสอดแทรกแนวคิดทหารนิยมในการแข่งขัน โดยเฉพาะการติดป้ายผ้าที่เป็นสโลแกนในการรบไว้ที่สกอร์บอร์ดว่า “ชนะและจับหมวกคาบุโตะ (หมวกที่ใช้ในการรบของทหารญี่ปุ่น) ให้แน่น มาออกไปต่อสู้เพื่อสงครามมหาเอเชียบูรพากันเถอะ”
นอกจากนี้ ในการแข่งขันปี 1942 ยังมีกฎที่ได้รับอิทธิพลมาจากทหารมากมาย ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น ห้ามเปลี่ยนตัวนักกีฬา หรือต้องใช้ผู้เล่นชุดเดิมไปตลอดการแข่งขัน แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากเป็นนักรบแล้ว ต้องสู้จนตัวตาย
ไปจนถึงการมีกฎว่า ห้ามแบตเตอร์ (คนตี) หลบลูกที่ขว้างมา แม้ว่าจะเป็นเดธบอล (บอลขว้างมาตรงหัว) เพราะการหลบนั้นถือเป็นพวกขี้ขลาด สำหรับทหารเป็นสิ่งที่อภัยไม่ได้
“มันเป็นกฎที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในระหว่างสงคราม” อุเอโมโตะ ยาสุโนริ อดีตสมาชิกของโรงเรียนพานิชย์โทคุชิมา แชมป์ในครั้งนั้นวัย 91 ปีย้อนความหลัง
แต่ที่สำคัญแล้ว นอกจากเบสบอล ในปีดังกล่าว ยังมีการแข่งขันกีฬาในหลากหลายประเภท ทั้ง ซูโม่ เคนโด กรีฑา รวมถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเรียกว่ากีฬาได้อย่าง “การเคลื่อนไหวในสนามรบ” “การสวนสนาม” หรือ “การโจมตีด้วยระเบิดมือ”
สำหรับเหตุผลที่ทำให้ โคชิเอ็ง ปี 1942 มีการแข่งขันในรูปแบบนี้ เนื่องจากในขณะนั้น ญี่ปุ่น กำลังเดินหน้าอย่างเต็มตัว ในสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยมีเหล่าเยาวชนในช่วงอายุ 17-24 ปีเป็นกำลังพลหลักในการรบ
พวกเขาจึงจำเป็นต้องสร้างค่านิยมในการทำสงคราม รวมถึงเชิดชูลัทธิทหารนิยมแก่เหล่านักเรียน และ โคชิเอ็ง ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์กีฬาระดับเยาวชน ที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง ก็เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด ในการปลูกฝังและเผยแพร่แนวคิดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวยังเป็นหนึ่งในปฏิบัติการทางข่าวสาร หรือ IO (Information Operation) ของจักรวรรดิญี่ปุ่น ที่เอาไว้เบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน จากความพ่ายแพ้ในการทำสงครามในยุทธนาวีมิดเวย์ เมื่อ 2 เดือนก่อน ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นผู้แพ้สงคราม อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ เมื่อสงครามสงบ การแข่งขันครั้งนี้ จึงไม่ได้รับการยอมรับในประวัติศาสตร์ของโคชิเอ็ง กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่เหมือนไม่ได้เคยเกิดขึ้นจริง จนได้รับฉายาว่า “โคชิเอ็งมายา” (幻の甲子園)
ทว่า สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือเหล่านักเรียนที่เข้าร่วมในการแข่งขันครั้งนั้น รวมไปถึงทีมที่คว้าแชมป์ เพราะสถิติที่เกิดขึ้นใน โคชิเอ็ง 1942 จะไม่ได้รับการบันทึกในสถิติของเบสบอลมัธยมปลายชิงแชมป์แห่งชาติ
“น่าเศร้าที่ชัยชนะ 3 ครั้งของพวกเรา ไม่ถูกนับในชัยชนะ 100 ครั้งของเฮอัน มันไม่ใช่ภาพมายา เราได้ยืนอยู่บนผืนดินของโคชิเอ็งอย่างแน่นอน” คิโยชิ ฮาราตะ หนึ่งในสมาชิกของมัธยมเฮอันรองแชมป์ของโคชิเอ็ง 1942 กล่าวกับ Asahi
ราวกับว่ามันคือทัวร์นาเมนต์ที่ ญี่ปุ่น พยายามจะลบให้หายไปจากประวัติศาสตร์
เรียกได้ว่าเป็นไวรัลอีกแล้ว เมื่อ ไมเคิ่ล โอเว่น ตำนานนักเตะของสโต๊ค ซิตี้ และลิเวอร์พูลหรือแมนฯ ยูไนเต็ด ที่มักถูกแฟนบอลแซวเรื่องคำวิจารณ์และทายผลลัพธ์ต่างๆ อยู่เสมอว่าความแม่นยำไม่ค่อยมีนั้น ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป็ป…
แม้ว่าในเกมล่าสุดที่อาร์เซนอลสามารถบุกไปเอาชนะคริสตัล พาเชซ มาได้ด้วยสกอร์สุดสวย 5-1 แต่ถ้ามองในรายละเอียดเกมทั้งหมดก็จะเห็นว่าอาร์เซนอลยังมีความผิดพลาดอยู่บ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะในครึ่งเวลาแรก หนึ่งในจังหวะหวาดเสียวที่สุดคือในนาทีที่ 10 ที่อาร์เซนอลพยายามจะบิ้วอัพจากหลังแต่คริสตัล พาเลซก็สามารถเพลสซิ่งได้ดี ในขณะนั้นบอลอยู่กับ เดบิด ราย่า เขามองขึ้นหน้าและเลือกจ่ายบอลไปให้ โธมัส ปาเตย์…
ถ้าพูดถึง มาร์คัส แรชฟอร์ด ในช่วงนี้ต้องบอกว่าเต็มไปด้วยความเห็นที่แตกต่างกันมากมาย มีทั้งฝั่งที่เห็นใจ เข้าใจ และฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแรชฟอร์ด ในส่วนของฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับแรชฟอร์ดต่างบอกว่าต้องการให้แรชฟอร์ดย้ายออกจากทีมไปและไม่ว่าทีมไหนที่ได้ตัวไป นั้นจะเป็นฝันร้ายอย่างแน่นอน ซึ่งนี่อาจจะเป็นความคิดเห็นที่สุดโต่งไปหน่อยและไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนั้นเช่นกันกับ เอียน ไรท์ อดีตตำนานกองหน้าของอาร์เซนอล ที่ออกแสดงความคิดเห็นไว้ว่า “ผมย้ายไปอาร์เซนอลตอนอายุ…
วันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว (20 ธันวาคม 2562) มิเกล อาเตต้า ถูกแต่งตั้งเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ หลังปลด อูไนเอเมรี่ การทำงานตลอด 5 ปี ภายใต้…
“ความคิดของผมเกี่ยวกับ กิว คือ บาร์เซโลนา ปล่อยเขามาได้อย่างไร?” โจ โคล อดีตมิดฟิลด์ของเชลซีกล่าว เชลซี ยังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในเกมฟุตบอลสโมสรยุโรป หลังไล่ถล่ม แชมร็อค โรเวอร์ส 5-1 ในศึกยูฟ่า…
ควันหลงจากเกมคาราบาว คัพที่สเปอร์สเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปได้สุดมันส์ 4-3 โดยในเกมนี้มาเรื่องดราม่ามากมายหลายประเด็น ในทุกคนรู้หรือไม่ว่าในระหว่างเกมที่เดือดไฟลุกแบบนี้มีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆสนามและนั้นก็ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่สำคัญนั้นคือก็ลูกโป่งสีเหลืองที่แฟนๆสเปอร์สร่วมกันชูขึ้น ว่าแต่ว่าลูกโป่งสีเหลืองคืออะไร พวกเขาส่งสัญญาณถึงใคร มาค่อยๆไล่เลียงกันไปครับ เกิดอะไรขึ้น? ย้อนกลับไปในวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมาเกิดการลักพาตัวประชาชนชาวอังกฤษขึ้นหลายคนไปฉนวนกาซา และหนึ่งในนั้นคือ Emily…