การคว้าเหรียญทอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหรียญทองแรกในประวัติศาสตร์ ควรจะเป็นความภาคภูมิใจให้แก่นักกีฬา แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับ ซน กีจอง นักวิ่งชาวเกาหลี เมื่อมันได้มาจากการลงแข่งในนามของ “ญี่ปุ่น” ชาติที่ยึดครองพวกเขา
เหตุการณ์นี้ ต้องย้อนกลับไปในโอลิมปิก 1936 ที่เบอร์ลิน เยอรมัน เมื่อ ซน กีจอง ได้เป็นตัวแทนของทีมชาติญี่ปุ่น มาลงชิงชัยในการวิ่งมาราธอน
อันที่จริง เขาถือเป็นความหวังสำหรับญี่ปุ่น จากผลงานอันลือลั่น ด้วยการคว้าแชมป์มาราธอน 9 รายการ จาก 12 รายการ ในช่วงปี 1933-1936 รวมไปถึงโตเกียวมาราธอน 1935 ที่สามารถทำลายสถิติของ ฮวน คาร์ลอส ซาบาลา เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 1932 อีกด้วย
แต่สำหรับ ซน การมาโอลิมปิกครั้งนั้น มันคือความเจ็บปวด เพราะเขาต้องมาในฐานะตัวแทนของชาติที่ปกครองพวกเขาอย่างโหดร้าย หลังจักรวรรดิญี่ปุ่นเข้ายึดครองคาบสมุทรเกาหลีตั้งแต่ปี 1910 นอกจากนี้ เขายังต้องละทิ้งชื่อเดิม และเปลี่ยนมาใช้ชื่อ ซน คิเตอิ ให้เหมือนเป็นชาวญี่ปุ่น อีกด้วย
ทำให้ ซน พยายามใช้การแข่งขันครั้งนั้นในฐานะเครื่องมือประท้วงต่อผู้รุกราน ทั้งการบอกคนอื่นว่าเขาไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่เป็นคนเกาหลี ไปจนถึงเซ็นชื่อตัวเองด้วยอักษรเกาหลี รวมถึงวาดภาพแผนที่คาบสมุทรเกาหลี (บางข้อมูลบอกว่าธงเกาหลี) ไว้ข้างลายเซ็น
แต่สุดท้าย ซน ก็หนีชะตากรรมของตัวเองไม่พ้น เมื่อเขาต้องลงแข่งในฐานะตัวแทนของชาติอาณานิคม โดยมีธงของญี่ปุ่น อยู่บนหน้าอก
อย่างไรก็ดี เมื่ออยู่ในสนาม ซน ก็พยายามทำให้ดีที่สุด แม้ว่าเขาจะเริ่มต้นได้ไม่ดีในช่วงแรก แต่ก็สามารถขยับขึ้นมาเป็นผู้นำในช่วง 2 ไมล์สุดท้าย ก่อนจะเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 29 นาที 19 วินาที
“ผมมั่นใจว่าผมจะชนะ แต่ตอนที่ออกสตาร์ทผมเห็นนักวิ่งเก่ง ๆ วิ่งผ่านผมไป หลังจากผ่าน 10 กิโลเมตรแรกผมก็เริ่มเห็นพวกเขาออกจากการแข่งขัน ผมเลยคิดว่า ‘บางทีผมอาจจะชนะการแข่งขันครั้งนี้'” ซน กล่าวกับ CS Monitor เมื่อปี 1988
“ตลอด 4 ปีผมฝึกซ้อมมาเพื่อเป้าหมายนั้น ถ้าผมแพ้ 4 ปีที่ผ่านมามันคงสูญเปล่า ความพอใจแบบนั้นเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับคนที่ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์นั้นจะเข้าใจ มันคือการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ระดับชาติสำหรับผม และผมก็ชนะ”
แต่นั่นก็เหมือนจุดเริ่มต้นของความขมขื่น เพราะแม้ว่าเขาจะสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการคว้าเหรียญทองแรกให้กับตัวเอง แต่มันคือการคว้าแชมป์ในฐานะตัวแทนของญี่ปุ่น
ซน ต้องขึ้นไปอยู่บนโพเดียม มองธงชาติของญี่ปุ่นเชิญขึ้นสู่ยอดเสา พร้อมกับเพลง Kimigayo เพลงชาติญี่ปุ่นที่กำลังบรรเลง จนทำให้เขาบอกว่านั่นคือช่วงเวลาที่อัปยศที่สุดในชีวิต
“ตอนที่ผมขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นและเพลงชาติบรรเลงพร้อมกับเชิญธงขึ้น มันเป็นตอนที่ผมรู้สึกเสียใจกับคนที่ไม่มีประเทศ นั่นคือผม คนเกาหลีที่ชนะการแข่งขันภายใต้ธงชาติและเพลงชาติของญี่ปุ่น” ซน ย้อนความหลังกับ CS Monitor
ทำให้ช่วงเวลานั้น แทนที่จะเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจ ซน เลือกที่จะก้มมองพื้น แล้วเอาต้นโอ้คมาบังธงชาติญี่ปุ่นที่หน้าอกเอาไว้
“สำหรับตัวผม และอันดับ 3 ที่เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน พวกเราต่างก้มหัวลง เรากำลังร้องไห้ มันไม่ใช่เพราะชัยชนะแต่เป็นน้ำตาแห่งความโศกเศร้าและความคับข้องใจที่มันไม่ใช่ชัยชนะของเรา” ซนกล่าว
ขณะเดียวกัน ในระหว่างการสัมภาษณ์ เขาพยายามใช้ความสำเร็จนี้เป็นเครื่องมือประท้วงการรุกรานของญี่ปุ่น ด้วยการบอกว่าเขาเป็นคนเกาหลีไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่ล่ามปฏิเสธที่จะแปลคำพูดนี้
“ซนตระหนักดีถึงแนวคิดของการถูกยึดครองจากต่างชาติ และเขาก็พยายามจะพูดเรื่องนี้ในการแถลงข่าว” เดวิด วอลเลชินสกี นักประวัติศาสตร์โอลิมปิก อธิบายกับ New York Times
นอกจากนี้ ในการแถลงข่าวกับสื่อมวลชน ซน ยังพยายายามเน้นคำว่า “ยึดครอง” ด้วยนัยยะที่ต้องการสื่อให้โลกได้เห็นว่าสถานะของชาวเกาหลีตอนนี้เป็นอย่างไร หลังนักข่าวถามถึงเบื้องหลังแห่งความสำเร็จ
“ร่างกายของมนุษย์สามารถทำอะไรได้มากทีเดียว จากนั้นหัวใจและจิตวิญญาณจะเข้ามายึดครอง” ซนกล่าว
ทั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นการคว้าเหรียญภายใต้ธงญี่ปุ่น แต่เขาก็กลายเป็นความภาคภูมิใจของชาวเกาหลี ถึงขนาดที่ Dong-a Ilbo หนังสือพิมพ์รายวันของเกาหลี เอาภาพ ซน ตอนรับเหรียญขึ้นหน้าหนึ่ง แต่ลบธงญี่ปุ่นออก
อย่างไรก็ดี ชะตากรรมของ ซน หลังจากนั้น กลับสวนทาง เมื่อเขาถูกญี่ปุ่นแบนจากการแข่งขัน และส่งคนมาจับตามองอย่างเข้มงวด เนื่องจากเกรงว่าจะใช้ความสำเร็จของเป็นเครื่องมือปลุกระดมชาวเกาหลีให้ประกาศเอกราช
ขณะเดียวกัน ซน ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อของจักรวรรดิญี่ปุ่น ในการชักชวนเด็กหนุ่มชาวเกาหลีเข้ามาเป็นทหารในกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เขาบอกว่ามันคือ “ความเสียใจที่สุดในชีวิต”
ทว่า ท้ายที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากพันธนาการ หลังญี่ปุ่นกลายเป็นผู้แพ้สงครามในปี 1945 เขากลายมาเป็นโค้ชนักวิ่งให้ทีมชาติเกาหลี และสามารถปลุกปั้น ฮวาง ยองโช คว้าเหรียญทองในโอลิมปิก 1992 ที่บาร์เซโลนา ด้วยการเอาชนะ โคอิจิ โมริชิตะ นักวิ่งชาวญี่ปุ่น อดีตเจ้าอาณานิคมของพวกเขา
เขายังได้รับเกียรติให้เป็นผู้วิ่งคบเพลิงในพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิก 1988 ที่กรุงโซล รวมถึงจารึกชื่อในตำราประวัติศาสตร์ ในฐานะผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศอีกด้วย ต่างจากที่ญี่ปุ่น ที่ระบุไว้สั้น ๆ ว่าเขาเป็นเพียงนักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิกเท่านั้น
ซน ใช้ชีวิตมาจนถึงปี 2002 ก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคปอดอักเสบในวัย 90 ปี แต่ชื่อของเขายังคงอยู่ในใจของชาวเกาหลี ทั้งในฐานะวีรบุรุษของชาติ และการไม่ยอมจำนนต่อเจ้าอาณานิคม
“ชาวญี่ปุ่นห้ามนักดนตรีไม่ให้เล่นเพลงของเรา พวกเขาห้ามนักร้องของเราไม่ให้ร้องเพลง และทำให้นักพูดของเราเงียบเสียง” ซน กล่าวเอาไว้ไม่นานก่อนเสียชีวิต
“แต่พวกเขาไม่สามารถห้ามผมจากการวิ่งได้”
เขาเพิ่งจะโชว์ลีลาการลากเลื้อยจากฝั่งตัวเองไปซัดประตูปิดกล่องให้โรงเรียนคว้าแชมป์จังหวัด พร้อมได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในศึกชิงแชมป์ฤดูหนาวทั่วประเทศ เขาคือคนที่ติดทีมชาติญี่ปุ่นชุด U17 ตั้งแต่อยู่ ม.4 และอยู่ในทีมชุดแชมป์เอเชีย 2023 ที่ประเทศไทย และเขาคนนี้ก็เป็นเพียงไม่กี่คนที่มาจากทีมโรงเรียนที่ติดทีมชาติญี่ปุ่นไปเล่นฟุตบอลโลก U17 2024 รอบสุดท้าย ก่อนจะซัดไป 4…
เรื่องราวของ ไอมาน เคลีฟ นักชกแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกที่ ปารีส กำลังเป็นประเด็นเพราะมีการเปิดเผยว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นผู้ชาย โดยในโอลิมปิกครั้งที่ผ่านมา เคลิฟ สร้างกระแสเป็นอย่างมาก เพราะชกนักชกอิตาลีจนฝั่งอิตาลีต้องขอยอมแพ้ และบอกว่านี่คือหมัดที่หนักที่สุดในชีวิต ซึ่งตอนนั้นกระแสก็ไปหลายทาง บอกคนบอก…
"อันเชล็อตติ ทำอะไรผิดน่ะเหรอ ? ... ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" นี่คือคำตอบผ่านสื่อของของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร เรอัล มาดริด ที่ไล่ คาร์โล อันเชล็อตติ ออกจากการเป็นกุนซือในฤดูกาล…
แม้ว่าจะ เอริค เทน ฮาก ถูกปลดจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ในฤดูกาลนี้ แต่ต้องยอมรับว่าการซื้อขายนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของเขา มีความคึกคักเป็นพิเศษ ด้วยผู้เล่นขาเข้า 6 รายในราคารวมกันเกือบ 200…
เอริค คันโตนา คือนักเตะที่แฟน ๆ ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่มีวันลืมลง เขาเป็นคนที่ย้ายมาอยู่กับทีมในปี 1992 และเป็นคนที่เริ่มต้นยุคสมัยความยิ่งใหญ่ของทีมปีศาจเเดงก็คงไม่ผิดนัก ไม่ว่าสตาฟโค้ช, เพื่อนร่วมทีม และแม้แต่ เซอร์…
เรื่องของ เจมี่ วาร์ดี้ นั้นชัดเจนมาก นับตั้งแต่เขาเเจ้งเกิดกับ เลสเตอร์ ซิตี้ เขาก็กลายเป็น "เดอะ แบก" ของทีมมาจนถึงทุกวันนี้ โดยช่วงฤดูกาล 2015-16 ที่เลสเตอร์คว้าเเชมป์พรีเมียร์ลีกนั้นเป็นปีที่วาร์ดี้พีกสุด ๆ…