เป็นปกติสำหรับโลกเสรี เมื่อทีมรักไม่ได้ดังใจ แฟนบอลก็สามารถเปิดปากวิจารณ์ได้ เนื่องจากพวกเขาคือผู้สนับสนุนทีมโดยตรง เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สโมสรไปต่อได้
อย่างไรก็ดี มีนักเตะคนหนึ่ง ที่ใช้การวิจารณ์เหล่านั้น จนทำให้ตัวเองได้ลงสนามจริง ชื่อของเขาคือ สตีฟ เดวีส์ ว่าแต่เรื่องราวสุดเหลือเชื่อนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
อันที่จริง สำหรับ เดวีส์ ตัวเขาเองมีความฝันอยากจะเป็นนักฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก หลังจากได้ผลงานของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ 1975 ที่เอาชนะฟูแลมไปได้ 2-0
“เด็กคนอื่นที่โรงเรียนบอกว่าผมควรเชียร์ทีมท้องถิ่น แต่ผมเพิ่งรู้ว่าสำหรับผมมันคือเวสต์แฮม ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงจริง ๆ” ชายที่มีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองรัชเดนทางตอนกลางของอังกฤษกล่าวกับ The Guardian
“ผมสวมเสื้อทีมนี้ด้วยความภาคภูมิใจ และเดินทางไปดูเกมบ่อยที่สุดเท่าผมจะทำได้”
แน่นอนที่สโมสรที่เขาอยากลงเล่นมากที่สุดก็คือ เวสต์แฮม แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เขาไม่ได้เก่งกาจพอจะเป็นนักเตะอาชีพ และทำได้แค่เพียงเล่นอยู่ในซันเดย์ลีกเท่านั้น
“เด็กทุกคนมีความฝันอยากจะเล่นให้กับทีมรัก และทุกครั้งที่ผมลงไปวิ่งในสนาม ผมพยายามคิดว่าผมกำลังเล่นให้เวสต์แฮม” เดวีส์ ย้อนความหลัง
อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่เขายังไม่ได้ทิ้งมันไป คือการตามเชียร์ เวสต์แฮม ทีมรัก ไปพร้อมกับทำงานขับรถส่งของแบบควบกะช่วงตอนกลางวัน เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
“ผมเริ่มไปดูเวสต์แฮมที่สนามตอนผมอายุ 15 ปี ผมไปดูเกมทุกสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งเกมเยือน พวกเขาเคยมีช่วงเวลาที่รุ่งเรือง” เดวีส์ กล่าว
ชีวิตของเขา อาจจะเหมือนกับแฟนบอลทั่วไป ทำงานในวันปกติ ออกไปตะโกนเชียร์ทีมรักในสุดสัปดาห์ กินเบียร์หลังเกมเลิก หรือออกไปเตะฟุตบอลในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์บ้างเป็นบางครั้ง
“ผมเองก็ยังคงเล่นฟุตบอลในซันเดย์ลีกอยู่บ้างตอนที่เวสต์แฮมไม่มีเกมเยือน มันทำให้ผมมีเวลากับการดื่มช่วงเย็นมากขึ้น” เดวีส์อธิบาย
“อย่างที่รู้ หันมาแล้วชนแก้วกัน อะไรประมาณนั้น”
แต่ในหน้าร้อนของปี 1994 ชีวิตเขาก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล จากคำชวนของ ชังค์ เพื่อนสนิทที่ชวนไปดู เวสต์แฮม ลงเตะในช่วงปรีซีซั่น ที่เมืองอ็อกฟอร์ด
ตอนนั้น เวสต์แฮม เพิ่งจะเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้เป็นปีที่ 2 และทำผลงานได้อย่างน่าพอใจด้วยการจบในอันดับ 13 ของตารางเมื่อฤดูกาลก่อน ขณะที่ฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอ คัพ ก็เข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ด้วยเหตุนี้เกมกับ อ็อกซ์ฟอร์ด ซิตี้ จึงเต็มไปด้วยคาดหวัง เพราะแม้เวสต์แฮมจะเป็นทีมเยือน แต่สถานะของเจ้าบ้านในตอนนั้น เป็นเพียงทีมนอกลีก และการที่ทีมดังจากลอนดอน มาเล่นที่นี่ ก็เพราะเขาเพิ่งซื้อตัว โจอี บีแชมป์ มาจากทีมแห่งนี้
ทว่า เมื่อเกมเริ่มขึ้น เวสต์แฮม กลับทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้ เดวีส์ ที่ยืนอยู่ริมรั้วใกล้กับขอบสนาม ตะโกนด่านักเตะด้วยความไม่พอใจ โดยเฉพาะ ลี แชปแมน ที่เขาผิดหวังมากที่สุด
“ลี แชปแมน ได้เล่นในแดนหน้า เขาได้ดวลกับคนที่ตัวเล็กกว่าของอ็อกซ์ฟอร์ดในเขตโทษ ลี สูงกว่าเขา แต่กลับหล่นตุ๊บลงมา” เดวีส์ ย้อนความหลัง
“ถ้าคุณได้เห็นนักเตะบางคนในทีมของคุณทำอะไรโง่ ๆ คุณจะไม่ปล่อยพวกเขาให้เหงาอย่างน้อย 2-3 นาทีแน่นอน”
เมื่อเวลาผ่านไป การเล่นของ แชปแมน ก็ยิ่งทำให้ เดวีส์ หงุดหงิด เขาเริ่มสบถคำหยาบอย่างต่อเนื่องโดยพุ่งเป้าไปที่กองหน้าร่างโย่งรายนี้
“เร็วหน่อยเห้ย ไอ้โง่ แชปแมน แกมันไร้ประโยชน์ ลุกขึ้นโว้ย” ถ้อยคำที่ เดวีส์ ตะโกน
อย่างไรก็ดี คนที่รู้สึกรำคาญที่สุดไม่ใช่ แชปแมน แต่เป็น แฮร์รี เรดแนปป์ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมของเวสต์แฮม ในตอนนั้น ที่รับหน้าที่คุมทีมในเกมดังกล่าว หลังต้องฟังเขาสบถแบบนอนสต็อปมาหลายนาที
“มีชายคนหนึ่งที่ข้างสนาม เขามีรอยสักของเวสต์แฮมที่แขนและคอ แถมยังเจาะหู หลังจากนั้นไม่ถึง 2 นาที เขาก็ทำให้ผมสะดุ้ง” เรดแนปป์ กล่าวในรายการ A League of Their Own
ก่อนที่สุดท้าย ความอดทนของ เรดแนปป์ จะขาดลง ด้วยความรำคาญ เขาเดินไปหา เดวีส์ ที่ตะโกนด่าอยู่ริมรั้ว แล้วบอกว่า “ถ้าทำได้อย่างที่พูดก็ลงมา”
“ชายคนนั้นไม่ปล่อยให้ผมอยู่เงียบ ๆ เลย เขาพูดตลอด พูดแบบไม่หยุด” เรดแนปป์ กล่าวกับ yahoo.com
ทั้งนี้ ที่ เรดแนปป์ ตัดสินใจทำอย่างนั้น เนื่องจากตอนนั้น เวสต์แฮม มีผู้เล่นบาดเจ็บ และเขาก็ใช้ผู้เล่นตัวสำรองไปหมดแล้ว การให้แฟนบอลปากดีลงเล่น น่าจะเป็นประโยชน์สองเด้ง เพราะนอกจากจะทำให้ทีมมีผู้เล่นครบ 11 คนในสนาม เขายังสามารถกำจัดมลภาวะทางหูไปได้อีกด้วย
ส่วน เดวีส์ เขาก็แทบไม่ต้องคิด เพราะการลงเล่นให้เวสต์แฮมคือความฝันของเขาอยู่แล้ว อีกทั้งเขายังได้กระทบไหล่กับเหล่านักเตะที่ตามเชียร์อยู่ทุกสัปดาห์ ไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธเรื่องนี้
อย่างไรก็ดี ตอนแรกเขาคิดว่าเรดแนปป์ น่าจะให้เขาลงเล่นแค่ 2-3 นาที ทว่าหลังจากตามเข้าไปในห้องแต่งตัว ก็ทำให้ เดวีส์ รู้ว่า เรดแนปป์ กำลังเอาจริง และเขาจะมีโอกาสโชว์ฝีเท้าถึง 45 นาที
“ผมแทบไม่เชื่อ ในห้องแต่งตัว นักเตะกำลังนั่งอยู่และกำลังพักในช่วงพักครึ่ง” เดวีส์ กล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
“หลังจากนั้นแฮร์รีก็พูดว่า ‘ลี เดี๋ยวแกออกแล้วเปลี่ยน สตีฟ ลง”
“อัลวิน มาร์ติน นั่งอยู่ข้างผม พอเรายืนขึ้นเขาก็ตบบ่าผมเหมือนช่วยปลุกใจ ผมเดินผ่านอุโมงค์และยังคิดว่า แฮร์รี คงล้อผมเล่น ผมไม่คิดว่าจะได้ลงเล่นจริง ๆ หรือคิดว่าอาจจะได้เล่นแค่ 1-2 นาทีเพื่อความฮา”
หลังหมดเวลาพักครึ่ง เดวีส์ ก็ปรากฎตัวในสีเสื้อของเวสต์แฮม ท่ามกลางเสียงฮือฮาทั้งสนาม จนถึงขั้นโฆษกต้องส่งคนมาถามชื่อว่านักเตะใหม่คนนี้คือใคร เพราะไม่มีอยู่ในรายชื่อที่ลงทะเบียนไว้
แต่เมื่อเกมเริ่มขึ้น เดวีส์ ก็เริ่มรู้ว่าสิ่งเขาพูดนั้นง่ายกว่าทำ เมื่อฟุตบอลอาชีพของจริง มันทั้งเร็วและหนักกว่าที่เขาคิดไว้ อีกทั้งเขสยังโดนการประกบจากกองหลังคู่แข่ง จนทำให้แทบไม่มีโอกาสได้โชว์ฝีเท้า
“มันเป็นฟุตบอลที่เร็วมาก นี่เป็นการก้าวข้ามจากซันเดย์ลีก พูดอย่างนั้นได้เลย อ็อกซ์ฟอร์ดเล่นฟุตบอลวันเสาร์ ส่วนผมเล่นฟุตบอลวันอาทิตย์ ฟุตบอลของผับ” เดวีส์ อธิบายกับ The Guardian
“ผมได้สัมผัสบอลน้อยมาก รวมถึงลูกส่งของ อัลวิน มาร์ติน ผมจำได้ว่าเขาเรียกชื่อผมด้วยสำเนียงสเกาซ์ ผมตกใจหมด ‘สตีวี!’ เขาตะโกนแล้วส่งบอลมาที่เท้าของผม มันเร็วจนผมเกือบล้ม”
แต่ เดวีส์ ก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขาพยายามงัดความสามารถที่มีออกมาใช้ ทว่า ด้วยความห่างชั้น บวกกับก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งซัดเบียร์ไป 3 ขวด พาย 1 ชิ้น และบุหรี่อีก 2-3 มวน ทำให้เขารู้ว่าตัวเองไม่ไหวแน่ในเกมนี้
“ผมยิงไม่ตรงกรอบเลยเพราะโดนประกบตลอด มันไม่เหมือนฟุตบอลในสวน กองหลังไม่เคยปล่อยให้คุณอยู่คนเดียว” เดวีส์ กล่าว
“ผมพยายามสงบสติอารมณ์ หลังจากห้านาทีแรกผ่านไปขาผมก็สั่น ผมกำลังเล่นให้เวสต์แฮม หลังจากนั้นมันก็เป็นแค่การเล่นต่อไป ผมวิ่งไปด้วยอะดรีนาลีน และผมก็กังวลมากด้วย ผมเล่นแบบปลอดภัย จ่ายบอลสองสามครั้งให้เซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ชื่อ มาร์ติน”
อย่างไรก็ดี ในนาทีที่ 71 สิ่งที่เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อ เดวีส์ ได้บอลที่ส่งมาจากริมเส้น ก่อนจะสลัดหนีตัวประกบ เข้าไปดวลแบบ 1-1 กับ โคลิน ฟลีต นายด่านของเจ้าบ้านในกรอบเขตโทษ
“เราเปิดเกมบุก บอลถูกจ่ายไปด้านกว้าง ผมมั่นใจว่า แมตตี้ โฮม อยู่ทางปีก และเราก็ดันขึ้นไป มีกองหลังสองคนอยู่ตรงหน้าผม ผมแค่วิ่งไปข้างหน้า นั่นคือสิ่งที่ผมคิด” เดวีส์ย้อนความหลัง
เขาคิดแค่ว่าต้องทำประตูนี้ให้ได้ จึงอัดเข้าไปอย่างเต็มแรง ก่อนที่บอลจะพุ่งเรียดผ่านมือ ฟลีต เข้าไปตุงตาข่าย ท่ามกลางเสียงเฮจากแฟนบอลทั้งสนาม
“ผมแค่เตะมันออกไป ผมเตะมันเหมือนกับไม่มีอะไรอีกแล้ว มันหมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ ก็คืออัดไปเต็มแรงนั่นแหละ”
เดวีส์ ฉลองประตูนั้นอย่างสุดเหวี่ยง เขาม้วนตัวก่อนจะกางแขนออก ต่อหน้ากลุ่มเพื่อนที่ชวนมาเชียร์ และนี่ก็คือโมเมนต์สำคัญในชีวิต
“มันเหมือนกับเวลาหยุดนิ่ง มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม” เดวีส์ อธิบาย
ทว่า เหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากฝัน เมื่อสิ้นเสียงดีใจ เขาก็หันไปเห็นผู้กำกับเส้นยกธงที่ข้างสนาม ก่อนจะบอกว่าประตูที่ เดวีส์ ยิงเข้าไปนั้นเป็นโมฆะ เนื่องจากตัวเขาล้ำหน้า
“ประตูที่ผมยิงเข้า มันไม่ได้เป็นประตู” เดวีส์กล่าว
“ผมล้ำหน้าไปสองหลา ผมวิ่งไปหากรรมการแล้วบอกว่า ‘ไอ้เวร มึงทำลายความฝันกู'”
นอกจากนี้ หลังเกมเขายังพลาดที่จะได้ชุดแข่งเบอร์ 3 ที่ลงเล่นในเกมนั้นมาเป็นที่ระลึก เนื่องจาก เวสต์แฮม ผลิตเสื้อแข่ง ที่จะมาแทนตัวที่เขาใส่ไม่ทัน เพราะไม่ถึงสัปดาห์ พรีเมียร์ลีกก็จะเปิดฤดูกาลแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เดวีส์ ก็ยังจดจำช่วงเวลานั้นได้อย่างไม่มีวันลืม เพราะมันคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ประเดิมสนามให้กับทีมที่ตามเชียร์มาตั้งแต่เด็ก แถมยิงประตูได้ – แม้ว่าสุดท้ายมันจะล้ำหน้าก็ตาม
เรียกได้ว่าเป็นไวรัลอีกแล้ว เมื่อ ไมเคิ่ล โอเว่น ตำนานนักเตะของสโต๊ค ซิตี้ และลิเวอร์พูลหรือแมนฯ ยูไนเต็ด ที่มักถูกแฟนบอลแซวเรื่องคำวิจารณ์และทายผลลัพธ์ต่างๆ อยู่เสมอว่าความแม่นยำไม่ค่อยมีนั้น ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป็ป…
แม้ว่าในเกมล่าสุดที่อาร์เซนอลสามารถบุกไปเอาชนะคริสตัล พาเชซ มาได้ด้วยสกอร์สุดสวย 5-1 แต่ถ้ามองในรายละเอียดเกมทั้งหมดก็จะเห็นว่าอาร์เซนอลยังมีความผิดพลาดอยู่บ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะในครึ่งเวลาแรก หนึ่งในจังหวะหวาดเสียวที่สุดคือในนาทีที่ 10 ที่อาร์เซนอลพยายามจะบิ้วอัพจากหลังแต่คริสตัล พาเลซก็สามารถเพลสซิ่งได้ดี ในขณะนั้นบอลอยู่กับ เดบิด ราย่า เขามองขึ้นหน้าและเลือกจ่ายบอลไปให้ โธมัส ปาเตย์…
ถ้าพูดถึง มาร์คัส แรชฟอร์ด ในช่วงนี้ต้องบอกว่าเต็มไปด้วยความเห็นที่แตกต่างกันมากมาย มีทั้งฝั่งที่เห็นใจ เข้าใจ และฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของแรชฟอร์ด ในส่วนของฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับแรชฟอร์ดต่างบอกว่าต้องการให้แรชฟอร์ดย้ายออกจากทีมไปและไม่ว่าทีมไหนที่ได้ตัวไป นั้นจะเป็นฝันร้ายอย่างแน่นอน ซึ่งนี่อาจจะเป็นความคิดเห็นที่สุดโต่งไปหน่อยและไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนั้นเช่นกันกับ เอียน ไรท์ อดีตตำนานกองหน้าของอาร์เซนอล ที่ออกแสดงความคิดเห็นไว้ว่า “ผมย้ายไปอาร์เซนอลตอนอายุ…
วันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว (20 ธันวาคม 2562) มิเกล อาเตต้า ถูกแต่งตั้งเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ หลังปลด อูไนเอเมรี่ การทำงานตลอด 5 ปี ภายใต้…
“ความคิดของผมเกี่ยวกับ กิว คือ บาร์เซโลนา ปล่อยเขามาได้อย่างไร?” โจ โคล อดีตมิดฟิลด์ของเชลซีกล่าว เชลซี ยังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในเกมฟุตบอลสโมสรยุโรป หลังไล่ถล่ม แชมร็อค โรเวอร์ส 5-1 ในศึกยูฟ่า…
ควันหลงจากเกมคาราบาว คัพที่สเปอร์สเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปได้สุดมันส์ 4-3 โดยในเกมนี้มาเรื่องดราม่ามากมายหลายประเด็น ในทุกคนรู้หรือไม่ว่าในระหว่างเกมที่เดือดไฟลุกแบบนี้มีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆสนามและนั้นก็ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่สำคัญนั้นคือก็ลูกโป่งสีเหลืองที่แฟนๆสเปอร์สร่วมกันชูขึ้น ว่าแต่ว่าลูกโป่งสีเหลืองคืออะไร พวกเขาส่งสัญญาณถึงใคร มาค่อยๆไล่เลียงกันไปครับ เกิดอะไรขึ้น? ย้อนกลับไปในวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมาเกิดการลักพาตัวประชาชนชาวอังกฤษขึ้นหลายคนไปฉนวนกาซา และหนึ่งในนั้นคือ Emily…