ยูคาอิ ชิมิซึ : นักวิ่งเทรลที่มีอีกอาชีพเป็นพระสงฆ์แห่งพุทธศาสนา

Maruak Tanniyom

April 04, 2024 · 1 min read

ยูคาอิ ชิมิซึ : นักวิ่งเทรลที่มีอีกอาชีพเป็นพระสงฆ์แห่งพุทธศาสนา
กีฬาอื่น ๆ | April 04, 2024
เมื่อสองสิ่งจากทางโลกและทางธรรมมารวมกันได้อย่างกลมกลืน นี่คือเรื่องราวของพระที่ออกวิ่งเพื่อแสวงหาหนทางดับทุกข์

การวิ่งถือเป็นการทำสมาธิได้ดีระดับหนึ่ง เพราะมันทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง มองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ณ ปัจจุบัน หลายคนจึงใช้การวิ่งเป็นวิธีคลายเครียด หรือลดความฟุ้งซ่านในจิตใจ 

เช่นเดียวกับ ยูคาอิ ชิมิซึ ที่ใช้การวิ่งฝึกสมาธิ แต่ที่ต่างจากคนอื่นคือเขามีอีกอาชีพเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา เขาทำได้อย่างไร? 

อันที่จริงสำหรับ ชิมิซึ เขาถือเป็นพระสงฆ์โดยกำเนิด เนื่องจากเกิดมาในครอบครัวของเจ้าวาส ซึ่งตามหลักของนิกายมหายานของญี่ปุ่น พระได้รับอนุญาตให้มีภรรยาและลูกเพื่อสืบเชื้อสายได้ 

เขาใช้ชีวิตตามปกติ เข้าเรียนในระบบการศึกษาเหมือนคนทั่วไป ก่อนที่ตอนอายุ 22 ปี เขาจะบวชเป็นพระ เพื่อสืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจากพ่อ 

“อาตมามาอยู่วัดนี้เมื่อ 24 ปีที่แล้ว ตอนอาตมาอายุ 22 ปี อาตมารับช่วงต่อมาจากพ่อ และได้เป็นเจ้าอาวาส” ชิมิสึ กล่าวกับ Nike.com

นอกเหนือจากกิจเฉกเช่นพระทั่วไป อย่างดูแววัด และทำวัตรสวดมนต์แล้ว เขายังรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแก่คนในชุมชน ช่วยให้พวกเขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต 

แต่การมาเป็นพระก็ทำให้ ชิมิซึ เกิดคำถามกับชีวิต ว่าเขาคู่ควรกับหน้าที่นี้หรือไม่ บางครั้งมันทำให้เขาสับสน และรู้สึกทนทุกข์ 

“ในฐานะที่อาตมาต้องดูแลวัดและใช้ชีวิตเป็นพระ มันก็มีช่วงเวลาที่อาตมาสับสน” พระชิมิซึ อธิบาย

“ตลอดชีวิตอาตมาถามตัวเองเสมอว่า ‘อาตมาเป็นพระที่ดีหรือเปล่า ?’ และรู้สึกกังวลเมื่ออาตมาต้องอยู่ในที่ที่จำเป็นต้องอยู่ ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่มีคำตอบ อาตมารู้สึกขึ้น ๆ ลง ๆ เวลาถามตัวเอง”

เขาพยายามค้นหาคำตอบ ก่อนจะพบว่าการวิ่งเป็นหนึ่งในหนทางที่ทำให้เขาจิตใจสงบ และทำให้ ชิมิซึ ใช้การวิ่งในการต่อสู้กับความสงสัยในตัวเองมานับตั้งแต่นั้น 

“บางปัญหามันก็ยากที่จะแก้ไข ถ้าหัวใจอาตมาได้เติมเต็ม อาตมาสามารถทำให้พวกเขารับมือกับความเศร้า หรือเผชิญหน้ากับความลำบากของตัวเองได้” พระชิมิซึกล่าวกับ กล่าวกับ Nike.com

นอกจากนี้สำหรับตัวเขาแล้ว การวิ่งยังทำให้เขาสามารถเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ด้วยเส้นทางวิ่งสวยงาม โดยมีภูเขานางาโนะ เป็นฉากหลัง และทุกครั้งที่สามารถขึ้นไปถึงยอดเขา พระชิมิซึก็จะปล่อยให้ใจได้สัมผัสวิวทิวทัศน์อันงดงามที่อยู่ตรงหน้า 

“การวิ่งทำให้อาตมาได้เจอกับทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในโลก” พระชิมิซึ อธิบาย

“เวลาที่อาตมาวิ่งบนเขาเขาอาตมารู้สึกถึงชีวิต จิตวิญญาณแห่งภูเขาไหลเข้าสู่ร่างกายของอาตมา ซึ่งได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ด้วยการวิ่ง”

ทั้งนี้ พระชิมิซึ ไม่ได้วิ่งอยู่ในชุมชนเท่านั้น แต่เขายังเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอน โดยเริ่มครั้งแรกในปี 2009 แถมยังชวนพระลูกวัดมาวิ่งกับเขาด้วย แต่น่าเสียดายที่ครั้งนั้นเขาได้รับบาดเจ็บ จนวิ่งไม่จบการแข่งขัน 

“อาตมาอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม ตอนนั้นอาตมารู้สึกว่าฟูลมาราธอนมันสุดยอดมาก ส่วนอีกด้านหนึ่งอาตมาอยากทำให้ได้สักครั้งในชีวิต” เจ้าอาวาสวัด โทคุจุอิง แห่งจัดหวัดนางาโนะ กล่าวกับ Nagono City Laboratory

“นางาโนะมาราธอนมีเวลาที่ค่อนข้างจำกัดสำหรับมือใหม่ และอุปสรรคก็ค่อนข้างสูง แต่อาตมาคิดว่าอาตมาจะพยายามได้แค่ไหน ถ้ามีพระคนอื่นมาวิ่งด้วย”

หลังจากนั้น เขาก็เริ่มฝึกฝนอย่างจริงจัง ด้วยการตื่นออกมาวิ่งตั้งแต่ตี 4 เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ ส่วนเวลาที่เหลือก็ปฏิบัติภารกิจในฐานะพระ อย่างการดูแลวัด หรือเป็นไกด์พาเยี่ยมชมวัด 

มาราธอนครั้งแรกที่วิ่งจบ พระชิมิซึ ใช้เวลาถึง  4 ชั่วโมง 25 นาที แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ พยายามเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ให้ได้อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และพยายามทำสถิติของตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน ก่อนที่เวลาที่ดีที่สุดของเขาจะเหลือ 3 ชั่วโมง 25 นาที 

แม้ว่าอาจจะไม่ใช่เวลาที่ดี หากเทียบกับนักวิ่งมืออาชีพ แต่สำหรับ พระชิมิซึ มันคือเวลาที่เขาพอใจ เพราะเขาไม่ได้วิ่งเพื่อเงินรางวัล หรือทำสถิติ แต่เพื่อขัดเกลาจิตใจตัวเอง 

“เวลาอาตมาวิ่ง มีหลายครั้งที่อาตมาคิดเกี่ยวกับตัวเอง มันเหมือนว่าอาตมากำลังสำรวจตัวเอง จากในสถานที่ที่แตกต่างกันไป” พระชิมิซึ กล่าวกับ Nike.com 

“สำหรับอาตมาในฐานะพระแล้ว การวิ่งคือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน สิ่งนี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า และมันก็ส่งผลในแง่บวกสำหรับอาตมา” 

ขณะเดียวกัน พระชิมิซึ ยังมองว่าการวิ่งยังเป็นเหมือนการเติมพลังให้ชีวิต ที่ทำให้เขามีแรงพอที่จะกลับไปช่วยเหลือคนในชุมชน หรือเป็นที่พึ่งแก่คนตกทุกข์ได้ยาก 

“ในพระพุทธศาสนา มีคำว่า ‘ส่องสว่างอยู่ที่มุม’ คือเมื่อคุณจุดเทียน แสงสว่างจะกระจายไปถึงทุกที่ แม้กระทั่งที่มุม เพราะจะมองเห็นเงาที่ตรงนั้น” พระชิมิซึ อธิบายกับ Nike.com

“แสงที่เจิดจ้าจะกลายเป็นความสว่างให้แก่คนข้าง ๆ การวิ่งและการเผชิญหน้ากับตัวเองบางทีมันอาจจะช่วยให้อาตมาเจิดจ้ามากขึ้น และความสว่างนั้นก็จะตกไปถึงคนอื่นด้วย”

นอกจากนี้ มันยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ออกมาวิ่ง เพราะการวิ่งเป็นกิจกรรมที่ทำง่ายที่สุด แค่รองเท้าคู่เดียวกับร่างกายที่พร้อมก็สามารถทำได้แล้ว ไมว่าจะวัยไหน หรือเพศอะไร 

และที่สำคัญที่สุดคือสัจธรรมผ่านการวิ่ง ที่สะท้อนว่า บางครั้งเราอาจจะไม่จำเป็นต้องไล่ตามใคร เพราะแค่มีชีวิตไปตามจังหวะของตัวเอง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว 

“การวิ่งนั้นแค่ใครสุขภาพดีก็วิ่งได้ ที่เหลือก็เป็นเรื่องความเร็ว แต่ไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร วิ่งไปตามจังหวะของตัวเองก็พอ” พระชิมิซึ กล่าว