ย้อนการซื้อใจเมสซี่ของเป๊ป ปล่อยไปลุยโอลิมปิก 2008

Pipat Sathirawut

July 26, 2024 · 1 min read

ย้อนการซื้อใจเมสซี่ของเป๊ป ปล่อยไปลุยโอลิมปิก 2008
ฟุตบอล | July 26, 2024

ก่อนที่ ลิโอเนล เมสซี่ จะกลายเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกอย่างเช่นทุกวันนี้ ด้วยการคว้าโทรฟี่รวมกันถึง 45 รายการ รวมถึงได้รางวัล บัลลง ดอร์ และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าอีกอย่างละ 8 สมัย ต้องบอกเลยว่าแชมป์ที่สำคัญมากๆ ต่อการเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ในชีวิตค้าแข้งของซูเปอร์สตาร์กัปตันทีมชาติอาร์เจนตินารายนี้ ก็คือเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ที่กรุงปักกิ่งในปี 2008

จริงอยู่ ก่อนที่เมสซี่จะคว้าเหรียญทองฟุตบอลชายโอลิมปิกได้เมื่อ 16 ปีก่อน เขาเคยมีเกียรติประวัติคว้าแชมป์ ลา ลีกา ร่วมกับบาร์เซโลน่ามาแล้วในฤดูกาล 2004-05 และ 2005-06 แต่แชมป์ลีกสูงสุดสเปน 2 หนแรกในชีวิตของเจ้าตัว เขายังมีสถานะเป็นแค่ดาวรุ่งตัวสำรองของบาร์ซ่าเท่านั้น ยังไม่ใช่กำลังสำคัญอันดับหนึ่งของทุกทีมที่เขาเล่นให้เหมือนอย่างที่เป็นมาตลอด 15 ปีหลังสุด

เมสซี่เล่าให้ฟังถึงการซื้อใจของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ปล่อยให้เขาในวัยเพียง 21 ปีไปทำตามความฝัน นั่นก็คือการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกร่วมกับทีมชาติ ทั้งที่ในตอนนั้น เป๊ปยังไม่ใช่กุนซือที่มีบารมีเหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้ และสถานการณ์ของบาร์ซ่าในตอนนั้น ก็ต้องการมีทีมที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับช่วงออกสตาร์ทซีซั่นในยุคของเป๊ปด้วย

ศึกฟุตบอลชายโอลิมปิกเมื่อปี 2008 ทำการแข่งขันกันที่ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 7-23 สิงหาคม ซึงในช่วงระหว่างนั้น บาร์เซโลน่าก็มีภารกิจสำคัญ ต้องลงแข่งขันในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก รอบ 3 โดยพบกับ วิสล่า คราคอฟ ทีมจากโปแลนด์ โดยในตอนนั้น ทีมที่จบอันดับ 3 ใน ลา ลีกา ฤดูกาลก่อนหน้า ยังไม่ได้โควตาเข้ารอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ ทำให้บาร์ซ่าที่เพิ่งให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขึ้นมารับตำแหน่งกุนซือใหญ่เป็นปีแรก ต้องไปเริ่มเส้นทาง UCL ตั้งแต่รอบคัดเลือก

อย่างไรก็ตาม ลิโอเนล เมสซี่ ณ เวลานั้นมองว่านั่นอาจจะเป็นโอกาสเหมาะๆ ครั้งสุดท้ายที่จะเป็นส่วนหนึ่งของขุนพลทีมชาติอาร์เจนตินาชุดลุ้นเหรียญทองฟุตบอลชายโอลิมปิก เพราะในปี 2008 เขาอายุเพียง 21 ปี ถือว่าเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์ได้โดยที่ไม่กระทบโควตานักเตะอายุเกิน 23 ปี แต่ถ้าหากต้องรอไปอีกทุกๆ 4 ปี การไปเล่นในศึกโอลิมปิก มันจะยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้น

 

เมสซี่เผยเรื่องราวในครั้งนั้นกับสื่อในประเทศบ้านเกิดว่า “เมื่อเป๊ปเข้ามาคุมทีม เราเพิ่งเริ่มซ้อมกันเท่านั้น และมันก็เป็นช่วงที่มีกระแสข่าวลือว่าผมจะไปเล่นโอลิมปิก หรืออยู่ช่วยทีมกันแน่”

“เราต้องผ่านรอบคัดเลือก แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ตาม แล้วผมก็ดูไม่มีความสุขระหว่างการซ้อม เพราะผมอยากไปเล่นโอลิมปิก และเป๊ปสังเกตเห็น”

“ไม่มีใครเลยที่บาร์ซ่า ที่อยากให้ผมไปเล่นโอลิมปิกกับทีมชาติ ผมจำได้ว่าเราอยู่ในช่วงปรีซีซั่นกันที่ประเทศอิตาลี และหลังจากจบเกมอุ่นเครื่องกับฟิออเรนติน่า เขาเดินเข้ามาจับตัวผม แล้วบอกว่า “เอ็งอยากจะไปใช่ไหม?” แล้วผมก็ตอบว่าใช่”

“เขาฉลาดมาก ไม่มีอะไรหลุดพ้นสายตาเขาไปได้ เขารู้ใจผมอย่างรวดเร็ว และผมก็เป็นคนโปร่งใส”

“เขาบอกผมว่า “เอ็งไม่ต้องกังวล เราจะผ่านเข้ารอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วนเอ็งไปได้เลย ไปคว้าเหรียญทองซะแล้วกลับมา มันจะเป็นปีที่ยาวนาน และเราจะสนุกกับมัน”

 

ซึ่งการซื้อใจ ลิโอเนล เมสซี่ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เพิ่งเข้าไปคุมบาร์ซ่าใหม่ๆ ถือเป็นการเสี่ยงที่ได้ผล แม้ตอนนั้นบาร์ซ่าจะเพิ่งขาย เดโก้ และ โรนัลดินโญ่ ออกไปเพื่อสร้างทีมชุดใหม่ขึ้นมา และเมสซี่คือผู้เล่นที่เป๊ปตั้งใจจะใช้เป็นศูนย์กลางของทีมชุดที่ลุ้นความสำเร็จในระยะยาว แต่กุนซือชาวกาตาลันมองว่า ถ้าหากช่วยให้นักเตะที่ดีที่สุดของเขาไม่มีอะไรคาใจอีกได้ จะได้ประโยชน์ที่ดีที่สุดมากกว่า

สุดท้ายทุกฝ่ายได้ประโยชน์จากการตัดสินใจของเป๊ป เพราะเมสซี่ไปคว้าเหรียญทองโอลิมปิกกลับมาได้จริงๆ โดยยิงได้ 2 ประตูในทัวร์นาเมนต์ แถมแอสซิสต์ให้ อังเคล ดิ มาเรีย ยิงประตูชัยดับไนจีเรียได้ในเกมนัดชิง ขณะที่บาร์ซ่าก็ผ่านรอบคัดเลือก แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างไม่มีปัญหา ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์กวาดครบทุกแชมป์ที่ลงแข่งขันในฤดูกาลนั้น

ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา ทั้งเป๊ป และเมสซี่ ต่างก็เป็นโค้ชและนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกตลอด 16 ปีหลังสุดของวงการฟุตบอลอีกด้วย