ไม่กลัวหนี : เกาหลีเหนือปิดประเทศ แต่ทำไมกล้าส่งนักกีฬามาแข่งโอลิมปิก?

Kim Junumporn

August 08, 2024 · 2 min read

ไม่กลัวหนี : เกาหลีเหนือปิดประเทศ แต่ทำไมกล้าส่งนักกีฬามาแข่งโอลิมปิก?
กีฬาอื่น ๆ | August 08, 2024

ถือเป็นชาติจากเอเชียที่ทำผลงานได้ไม่เลวสำหรับนักกีฬาเกาหลีเหนือ เมื่อคว้าไปแล้ว 2 เหรียญเงิน กับอีก 3 เหรียญทองแดง จากกระโดดน้ำ, ปิงปอง และมวยปล้ำ

ทว่า ที่ทำให้หลายคนประหลาดใจคือทั้งที่เกาหลีเหนืออยู่ในสถานะปิดประเทศ แต่พวกเขากลับส่งนักกีฬาเข้าร่วมในครั้งนี้ถึง 16 คน ชนิดแบบไม่กลัวหนี

นั่นเป็นเพราะพวกเขามีจุดประสงค์อื่นนอกจากเรื่องกีฬา ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ติดตามได้ที่นี่

เหตุผลสำคัญที่ทำให้เกาหลีเหนือ ตัดสินใจส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี หลังจากเว้นวรรคไปในโตเกียว 2020 (โดยระบุว่าเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19) นั้นเป็นเพราะต้องการแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเป็นมิตรกับนานาประเทศ

ทำให้ในโอลิมปิกครั้งนี้ นักกีฬาเกาหลีเหนือสามารถพูดคุยกับนักกีฬาต่างชาติได้มากกว่าปกติ แม้ว่าก่อนจะถามอะไร จะต้องเช็คกับผู้ดูแลที่คอยตามประกบพวกเขาก็ตาม

ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นภาพนักกีฬาเกาหลีเหนือที่ค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายเซลฟี่ตอนรับเหรียญรางวัลในเทเบิลเทนนิส ร่วมกับนักกีฬาเกาหลีใต้ หรือการโบกมือให้กับกล้องของ อัน ชาง อ๊ก นักยิมนาสติกหญิง ที่คว้าอันดับ 4 ในประเภทม้ากระโดด

นอกจากนี้ อัน และ นักกีฬาเกาหลีเหนือ ยังพากันแลกเข็มกลัดของเกาหลีเหนือ กับนักกีฬาจากชาติอื่น ไม่ว่าจะเป็น จีน, เช็ก หรือ ไอร์แลนด์ จนมันเหมือนเป็นเครื่องมือในการกระชับความสัมพันธ์

สำหรับ เกาหลีเหนือ พวกเขาเข้าร่วมโอลิมปิกครั้งแรกในปี 1964 และแม้จะไม่ได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมมากนัก แต่ก็สามารถคว้าเหรียญมาคล้องคอได้ถึง 54 เหรียญ และเป็นเหรียญทองถึง 16 เหรียญ

พวกเขาเก่งกาจในกีฬาอย่าง มวยปล้ำ, มวยสากลสมัครเล่น, กระโดดน้ำ, ยิมนาสติก และปิงปอง อันที่จริง ยกน้ำหนัก ก็เป็นกีฬาที่พวกเขาถนัด แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ลงแข่งเนื่องจากไม่ผ่านรอบคัดเลือก

อย่างไรก็ดี นอกจากเหรียญรางวัล สิ่งที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ เกาหลีเหนือ ซึ่งขึ้นชื่อในการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร และจำกัดการเข้าออกของผู้คนในประเทศอย่างเข้มงวด ยอมส่งนักกีฬามาเล่นในโอลิมปิก ก็คือโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ต่อเวทีโลก

เกาหลีเหนือใช้โอลิมปิกในการโต้แย้งมุมมองจากภายนอกที่มองว่าพวกเขาเป็นประเทศเผด็จการสุดโต่ง พลเมืองไม่มีอิสระในการใช้ชีวิต ไปจนถึงมีค่ายกักดันสำหรับผู้เห็นต่างทางการเมือง

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่โอลิมปิก ไม่มีออกอากาศในเกาหลีเหนือ จึงไม่จำเป็นต้องใช้มันในฐานะเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา จึงมีจุดประสงค์ให้โลกได้สัมผัส มากกว่าให้พี่น้องร่วมประเทศของพวกเขาได้เห็น

“ผมคิดว่า คิม จองอึน ใช้โอลิมปิกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับคนเกาหลีใต้ รวมชาวอเมริกัน แต่มีปัญหากับรัฐบาลของทั้งคู่มากกว่า” รามอน ปาเชโก ปาร์โด ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัย คิงคอลเลจ ลอนดอน กล่าวกับ Sydney Morning Herald

ทว่า การเดินทางออกนอกประเทศ ก็มีความเสี่ยงที่ประชาชนของพวกเขาจะหลบหนี ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วในอดีต ทำให้เกาหลีเหนือ ไม่เคยปล่อยให้นักกีฬาของพวกเขาคลาดสายตาแม้แต่คนเดียว

“เกาหลีเหนือต้องแน่ใจว่าไม่มีนักกีฬาหรือสต้าฟโค้ชคนไหน ถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพัง เพื่อป้องกันการแปรพักตร์” ศาสตราจารย์ ปาเชโก ปาร์โด อธิบาย

“นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังมีระบบค่ายกักกันอยู่ หมายความว่าใครก็ตามที่คิดแปรพักตร์ จะรู้ดีว่าครอบครัวพวกเขาจะถูกลงโทษ”

“นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เกาหลีเหนือ สามารถป้องกันการแปรพักตร์ได้ดี ซึ่งต่างจากประเทสคอมมิวนิสต์ยากจน อย่างเช่น คิวบา”

ขณะเดียวกัน ชนชั้น และความสำเร็จที่ทำได้ ยังเป็นเครื่องการันตีว่าชีวิตของพวกเขาจะไม่ลำบากเหมือนเพื่อนร่วมประเทศ ที่ทำให้ รัฐบาลเกาหลีเหนือมั่นใจว่านักกีฬาของพวกเขาจะไม่หลบหนีอย่างแน่นอน

“นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือ อยู่ในกลุ่มของชนชั้นนำของประเทศ ที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในกรุงเปียงยางได้”  ปาเชโก ปาร์โด กล่าว

“ดังนั้น พวกเขารู้ดีว่า ปารีส และเมืองอื่นๆในต่างประเทศ ที่พวกเขาไปแชข่งพัฒนากว่าพวกเขาเป็นปกติอยู่แล้ว”

“พวกเขาอาจจะได้เห็นว่าประเทศของตัวเองยังด้อยพัฒนาและไม่มีอิสระจากสายตาของพวกเขาเอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก”

มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ เกาหลีเหนือ ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันระดับโลกมาตลอด ที่นอกจาก โอลิมปิก แล้วยังมีฟุตบอลโลก (2 ครั้ง) รวมไปถึงเอเชียนเกมส์ ที่เคยขาดไปเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น

สำหรับ ปารีส โอลิมปิก 2024 เกาหลีเหนือ ยังเหลือลุ้นเหรียญอีกหนึ่งรายการ คือการแข่งขันวิ่งมาราธอน ที่จะแข่งขันในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ก็มารอดูกันว่านักกีฬาของพวกเขาจะทำได้ดีแค่ไหน ก่อนที่จะกลับไปซ่อนตัวในประเทศที่ปิดตัวอีกครั้ง