โตเกียว โอลิมปิก 1964 : จุดเริ่มต้นแก้ปัญหามลพิษญี่ปุ่น เพราะอายชาวโลก
เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่วนเวียนมาให้พูดถึงแทบทุกปี สำหรับ PM 2.5 จนกลายเป็นภัยคุกคามหลักของชาวไทยในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่ที่ไทยเท่านั้น เพราะแม้แต่ ญี่ปุ่น ประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องความสะอาด ก็เคยเผชิญปัญหามลพิษอย่างหนัก ในระดับที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสีเทาของควันพิษ
ทว่าพวกเขาก็ผ่านพ้นมาได้ โดยมี โตเกียว โอลิมปิก 1964 เป็นหัวแรงสำคัญ เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น? ติดตามไปพร้อมกัน
แม้ว่าญี่ปุ่น จะขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เป็นระเบียบ สะอาด และปลอดภัย แต่หากย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 1960s พวกเขาอาจจะไม่ต่างจากไทยในตอนนี้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นควันปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่น โดยเฉพาะ โตเกียว เต็มไปด้วยมลพิษ มีสาเหตุมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งการผู้คนจำนวนมากในชนบทอพยพมาหางานทำในเมืองหลวง ไปจนถึงการเติบโตการเพิ่มขึ้นของโรงงานอุตสาหกรรม
“แหล่งโรงงานอุตสาหกรรม ควันที่พวยพุ่งออกมาจากปล่องดำที่สูงตระหง่าน ก็ย่ำแย่มากขึ้นทุกปีตามเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต ส่งผลให้ท้องฟ้าของเมืองใหญ่ที่อยู่ติดกันกลายเป็นสีเทา แม้แต่ในโตเกียวเองก็ถูกควันจู่โจมอย่างต่อเนื่อง” ข่าวในปี 1963
นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นในตอนนั้นก็ไม่ได้รักสะอาดอย่างที่ชาวโลกคุ้นเคย พวกเขายังคงทิ้งขยะเรี่ยราด ไม่ได้เป็นที่เป็นทาง จนทำให้เมืองเต็มไปด้วยมลภาวะ
“ในห้องน้ำผมก็คอยเตือนผู้คนตลอดว่าอย่าทิ้งขยะที่นี่ แต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็มีนิสัยทิ้งขยะไม่เป็นที่ นี่เป็นนิสัยแย่ที่สุดของคนญี่ปุ่นเลยครับ” คำสัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่ในปี 1964
อย่างไรก็ดี จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ญี่ปุ่น ต้องแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง คือการที่พวกเขาได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โตเกียว โอลิมปิก 1964
ในตอนนั้น รัฐบาลได้ทุ่มเงินมหาศาลไปกับการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน ไปพร้อมกับการจัดระเบียบ โตเกียว ให้สมฐานะกับการได้สิทธิ์จัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับโลกครั้งแรกของเอเชีย
“พรรค New Democratic Japan ใช้เงินไปกว่า 1.9 พันล้านดอลลาร์ตกแต่งโตเกียวที่เละเทะเพื่อรองรับคลื่นฝูงชนของนักกีฬาโอลิมปิกและนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินทางมาถึง หรือมาถึงเป็นที่เรียบร้อย พวกเขามีแท็กซี่ 26,753 คันที่ช่วยแก้ไขระบบที่อยู่อันยุ่งเหยิงของโตเกียว” รายงานจาก Sports Illustrated
ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเร่งด่วน อย่างการพ่นสเปรย์ดับกลิ่น, การคลุมฝั่งแม้น้ำด้วยแผนไวนิล ไปจนถึงการเติมสารเคมีลงในแม้น้ำ เพื่อแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียในสนามสำหรับแข่งขันพายเรือ และกีฬาทางน้ำ
นอกจากนี้ พวกเขายังออกนโยบาย “โอลิมปิกโตเกียวแสนสะอาด” ด้วยการแจกถังดำสำหรับทิ้งขยะทั่วโตเกียว พร้อมกับรณรงค์ให้ประชาชนทิ้งขยะให้ลงถัง จนทำให้เมืองหลวงที่เคยเละเทะ สะอาดขึ้นจนสามารถอวดสายตาชาวโลกได้
อย่างไรก็ดี การแปลงโฉมโตเกียวของญี่ปุ่น ไม่ใช่เป็นแค่การทำแบบผักชีโรยหน้า เพราะหลัง โอลิมปิกปิก 1964 พวกเขาก็พยายามแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมและมลพิษแบบยั่งยืน
ในปี 1968 ญี่ปุ่นได้ออกกฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศ ด้วยการกำหนดมาตรฐานของการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดอ็อกไซด์ และเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นในปี 1973
เช่นกันกับในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970s ที่มีการดำเนินนโยบายสิ่งแวดล้อม ทั้งการผ่านกฎหมาย ควบคุมการปล่อยมลพิษและฝุ่นควันจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเคร่งครัด, ไปจนถึงกฎหมายที่พูดถึงการร่วมมือกันระหว่างผู้อยู่อาศัยและเจ้าของธุรกิจ ในการจัดการขยะ
ขณะเดียวกันพวกเขายังลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย, การสร้างโรงเผาขยะแห่งใหม่, การนำระบบรีไซเคิลมาใช้ หรือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดมลพิษ และจัดการขยะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บวกกับในปี 1973 ได้เกิดวิกฤติการณ์น้ำมัน ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้ญี่ปุ่นเร่งปฎิรูปแนวทางด้านสิ่งแวดล้อมของตัวเอง ก่อนที่มันจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพวกเขา
ความพยายามเหล่านี้ ได้เปลี่ยน โตเกียว จากเมืองอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยมลพิษ มาเป็นมหานครที่มีสภาพอากาศสะอาดมากที่สุดในโลกในปัจจุบัน
Picks and Pick'em is here!
More teams, more wins. Join a public league and draft instantly.