มาเรสก้าจะไหวไหม? ชี้ปัจจัย เชลซีมีปรีซีซั่น 2024 สุดย่ำแย่

Pipat Sathirawut

August 08, 2024 · 2 min read

มาเรสก้าจะไหวไหม? ชี้ปัจจัย เชลซีมีปรีซีซั่น 2024 สุดย่ำแย่
Premier League | August 08, 2024

ศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024-25 กำลังจะเปิดฉากอยู่แล้วในอีกช่วงเวลาราวๆ 1 สัปดาห์เศษๆ แต่ดูเหมือนว่าทีมดังอย่าง เชลซี ดูจะยังไม่ค่อยพร้อมสำหรับซีซั่นใหม่ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือคนใหม่อย่าง เอ็นโซ่ มาเรสก้า มากนัก

จากโปรแกรมอุ่นเครื่องที่ลงเตะมากถึง 5 นัด พลพรรคสิงโตน้ำเงินครามสามารถเก็บชัยชนะได้แค่นัดเดียวเท่านั้น คือการถล่ม คลับ อเมริกา ทีมจากเม็กซิโกไป 3-0 นอกนั้นแพ้ไปถึง 3 เกม เสมออีก 1 เกม ซึ่งจาก 3 เกมที่แพ้ มีถึง 2 นัดที่เสียประตูให้คู่แข่งมากถึง 4 ลูก ส่วนเกมที่เสมอก็เป็นการเจอกับทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ลีก วัน หมาดๆ อย่างเร็กซ์แฮม

ทีมสิงห์บลูส์ยังมีโปรแกรมลงเล่นช่วงปรีซีซั่นอีกนัด คือการพบกับแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา อย่าง อินเตอร์ มิลาน ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของตัวเอง ในคืนวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคมนี้ ซึ่งหากดูจากฟอร์มของทีม และการเล่นภายใต้ระบบของเฮดโค้ชคนใหม่ที่ยังไม่ค่อยลงตัวมากนัก ก็มีโอกาสสูงที่จะเจอกับผลการแข่งขันที่ไม่ดีอีกนัดในเกมเปิดบ้านเจอทีมงูใหญ่

จริงอยู่ ผลการแข่งขันในเกมอุ่นเครื่องไม่ได้มีอะไรเสียหาย แต่ต้องบอกเลยว่าช่วงปรีซีซั่น 2024 ไม่ใช่ช่วงเวลาเตรียมทีมที่ดีสำหรับเชลซีก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่เลย

 

 

โปรแกรมเดินทางมากเกินไป

เชลซีต้องลงเตะมากถึง 5 นัดในระยะเวลาแค่ 14 วันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสาเหตุที่ต้องเดินทางทัวร์มากขนาดนั้น ก็เพื่อเป็นการกอบโกยรายได้จากสปอนเซอร์และพาร์ทเนอร์ต่างๆ ของสโมสรในช่วงซัมเมอร์ ซึ่ง ดิ แอธเลติก รายงานว่า สามารถทำรายได้ได้สูงถึง 15 ล้านปอนด์ และนั่นถือเป็นเม็ดเงินที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่พรีเมียร์ลีกและยูฟ่าต่างเข้มงวดอย่างหนักเรื่องกฎการเงินและความยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ด้วยระยะเวลาจำกัดแค่ 14 วัน แต่ต้องลงเล่นมากถึง 5 เกม โดยที่ทั้ง 5 เกมที่ว่าล้วนลงเตะที่เมืองและรัฐที่แตกต่างกัน ทำให้บรรดานักเตะต่างต้องเหนื่อยล้าจากการเดินทางมากเกินไป แล้วนั่นทำให้เวลาที่ควรจะใช้ให้เต็มที่ในการฝึกซ้อมสำหรับปรับจูนระบบใหม่ๆ หรือใช้ฟื้นฟูสภาพร่างกายให้นักเตะอยู่ในสภาพฟิตเต็มที่ กลับต้องเสียไปกับการเดินทางจำนวนมาก

เอ็นโซ่ มาเรสก้า พูดถึงประเด็นนี้ว่า “มันคือช่วงเวลาที่ดีด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันหลายๆ อย่าง เราได้เจอแฟนบอลที่อยู่นอกสหราชอาณาจักร ซึ่งสถานการณ์ในอุดมคติ ก็คือการเตรียมพร้อมสำหรับเกมการแข่งขัน”

“แต่ส่วนใหญ่แล้ว เราไม่ได้เตรียมตัวเลย”

“เราไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับเกมในเซสชั่นการซ้อมเหมือนอย่างที่เราเคยทำระหว่างฤดูกาลปกติ เราแค่เตรียมทีมกันด้วยวิดีโอหรือกระดานแท็กติกเท่านั้น มันจึงเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน”

นอกจากนั้นแล้ว ทางด้านกองกลางทีมชาติเอกวาดอร์อย่าง มอยเสส ไกเซโด้ ก็ชี้ว่า การไปเล่นที่สหรัฐอเมริกา ทำให้ทีมไม่สามารถเล่นฟุตบอลในแบบที่อยากจะเล่นได้จริงๆ จังๆ เพราะสภาพสนามแตกต่างจากที่อังกฤษเกินไป

ดาวเตะค่าตัว 115 ล้านปอนด์เผยว่า “มันไม่เหมือนกับตอนที่เล่นที่ยุโรป เพราะสนามที่ยุโรปมันดีต่อการโชว์คุณภาพของคุณออกมา แต่ที่นี่มันยากที่จะเล่นได้”

“สนามหญ้าที่นี่ไม่ค่อยดีเลย มันแห้งมาก เรารู้ว่าพวกเรามีนักเตะหลายคนที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพน่าเหลือเชื่อ แต่ในบางครั้ง มันไม่ได้เกี่ยวกับพวกนักเตะทั้งหมด มันเกี่ยวกับเรื่องสนามด้วย”

 

ขุมกำลังล้นจนเกินความจำเป็น

การที่เชลซีมีตัวเลือกนักเตะทีมชุดใหญ่ตอนนี้มากถึง 44 คน กลายเป็นมีมที่โลกโซเชียลนำมาล้อกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การมีนักเตะให้เลือกใช้มากเกินไป ไม่เป็นผลดีสำหรับคนเป็นเฮดโค้ชมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปรีซีซั่น ที่ต้องกระจายให้โอกาสนักเตะสลับกันลง และเมื่อโรเตชั่นผู้เล่นตลอดทุกนัด โดยที่คุณภาพแต่ละคนไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้การค้นพบ 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดยิ่งทำได้ช้าด้วย

เอาแค่ตำแหน่งผู้รักษาประตู จนป่านนี้ยังไม่มีใครเดาออกเลยว่า ระหว่าง โรเบิร์ต ซานเชซ กับผู้มาใหม่อย่าง ฟิลิป ยอร์เกนเซ่น ใครกันที่จะได้เป็นมือหนึ่ง

ทั้ง 5 นัดที่ผ่านมา เอ็นโซ่ มาเรสก้า จัดแผงแบ็กโฟร์ไม่เหมือนกันสักนัด มีเพียงแบ็กขวากัปตันทีมอย่าง รีซ เจมส์ คนเดียวเท่านั้น ที่ถูกส่งลงตัวจริงทุกเกม นอกนั้นนักเตะอย่าง ลีวาย โคลวิลล์, เบอนัวต์ บาเดียชิลล์, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, โทซิน อดาราบิโอโย่ ต่างถูกสลับกันทดลองเป็นคู่เซนเตอร์แบ็ก ส่วนตำแหน่งแบ็กซ้าย ก็สลับเลือกใช้ระหว่าง ลีวาย โคลวิลล์ กับ มาโล กุสโต้ ที่ตำแหน่งถนัดคือแบ็กขวา โดยที่ เบน ชิลเวลล์ ได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองแค่ 2 นัด

แผงมิดฟิลด์ดูเหมือนว่า โรเมโอ ลาเวีย จะยึดตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับใน 11 คนแรกของช่วงออกสตาร์ทซีซั่นใหม่ เพราะมาเรสก้าส่งลงตัวจริงในเกมอุ่นเครื่องทุกเกม แต่ก็น่าสนใจว่าเขาจะสลับใช้งานนักเตะอย่าง มอยเสส ไกเซโด้, เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ, คาร์นี่ย์ ชุคเวเมก้า และนักเตะที่ซื้อมาใหม่อย่าง เคียร์แนน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์ อย่างไรให้สมดุล ไหนจะต้องกระจายเกมไทม์ให้ดาวรุ่งอย่าง เลสลี่ย์ อูโกชุควู ได้มีโอกาสลงสนามด้วยอีก

ส่วนแนวรุก นี่คือช่วงซัมเมอร์ที่ มาร์ก กิว กองหน้าตัวใหม่วัย 18 ปีได้โอกาสลงเล่นเกมอุ่นเครื่องค่อนข้างมาก ขณะที่ โนนี่ มาดูเอเก้ ก็มักจะเป็นตัวจริงตำแหน่งปีกขวา โดยที่ คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู ถูกสลับใช้งานถึง 2 บทบาท ทั้งตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก และกองหน้า ขณะที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับ มิไคโล่ มูดริค สลับกันยึดตัวจริงตำแหน่งปีกซ้าย

ต้องไม่ลืมอีกว่าแนวรุกตัวแบกประจำทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้วอย่าง โคล พาลเมอร์ ยังไม่เคยได้ลงซ้อมร่วมกับทีมภายใต้การคุมทีมของมาเรสก้าเลยสักครั้ง หลังจากได้โอกาสพักร้อนนานเป็นพิเศษเพราะช่วยพาทีมชาติอังกฤษเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูโร 2024 เช่นเดียวกับแบ็กซ้ายทีมชาติสเปนอย่าง มาร์ก กูกูเรย่า และกองหน้าตัวเป้าอย่าง นิโคลัส แจ็คสัน ที่เจ็บข้อเท้าจากการไปเล่นให้ทีมชาติเซเนกัลเมื่อช่วงซัมเมอร์

บางที เกมอุ่นเครื่องนัดสุดท้ายกับ อินเตอร์ มิลาน คืนวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคมนี้ เราอาจจะได้เห็นไอเดียของมาเรสก้าที่ชัดเจนมากขึ้น ว่าเขาอยากจะจัดทีมและเล่นแบบไหนในเกมพรีเมียร์ลีกนัดเปิดฤดูกาล ที่จะต้องออกสตาร์ทนัดแรกด้วยการเปิดบ้านพบแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

ระบบใหม่ที่ยังดูไม่เวิร์ค

เอ็นโซ่ มาเรสก้า บ่นหลังจากเกมอุ่นเครื่องนัดล่าสุดที่เชลซีแพ้ เรอัล มาดริด 1-2 ว่า นักเตะสิงห์บลูส์ยังคงติดนิสัยชอบยืนไลน์แนวรับสูงจากฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการให้เกิดขึ้น

“มันเป็นนิสัย”

“พวกเราไม่ได้ทำงานกับการให้แนวกองหลังยืนสูง มันคือนิสัยจากปีที่แล้ว หรือไม่ก็ปีก่อนหน้านั้น ผมไม่รู้เหมือนกัน”

“เรากำลังพยายามดร็อปไลน์กองหลังให้ต่ำลงนิดหน่อย โดยปกติจะอยู่ที่ 4-5 เมตร เพื่อให้มีความได้เปรียบ”

“เมื่อปีที่แล้ว เราเสียประตูเยอะมากจากปัญหานี้ เราหวังว่าจะแก้ไขได้ในเร็วๆ นี้”

“มันคือปัญหาที่เราพยายามแก้ไขจากช่วงปรีซีซั่นตั้งแต่วันแรกเลย หนึ่งในเรื่องที่ผมประชุมร่วมกับทีมก็คือจำนวนประตูที่เราเสียเมื่อปีที่แล้วจากปัญหาแผงหลังยืนสูง”

“มันเป็นสิ่งที่เราพยายามแก้ไข ในวันนี้ เกมรุกของเรามีรูปแบบชัดเจน เราสร้างโอกาสได้ ปัญหามันคือเกมรับ ซึ่งเมื่อผมพูดถึงเกมรับ ผมไม่ได้หมายถึงแค่ไลน์กองหลังเท่านั้น แต่หมายถึงนักเตะทุกคน”

นอกจากนั้นแล้ว มาเรสก้ายังพยายามปรับนิสัยนักเตะเชลซีให้พยายามตั้งเกมขึ้นมาจากแดนหลัง และมีการให้ฟูลแบ็กเล่นแบบ Inverted Fullback แต่ดูเหมือนว่า รีซ เจมส์ ซึ่งเป็นแบ็กขวาในสไตล์ริมเส้นจ๋า และถนัดการเป็นวิงแบ็กจะไม่เหมาะกับการเล่นในสไตล์นั้นสักเท่าไร

ขณะที่การเล่นบิ๊วอัพจากแดนหลังที่ทีมยังไม่ถนัด ก็มีความผิดพลาดจนเสียประตู ชัดๆ เลยคือ 2 ลูกแรกที่เสียในเกมแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-2 ขณะที่เกมที่แพ้ กลาสโกว์ เซลติก 1-4 ก็มีจังหวะเสียประตูที่ 3 เพราะพยายามเคาะบอลสั้นหน้าปากประตูตัวเอง แทนที่จะรีบเคลียร์ทิ้งให้พ้นอันตราย

 

การเข้ามาของเฮดโค้ชคนใหม่ น่าจะทำให้เชลซีต้องใช้เวลามากพอสมควร กว่าที่จะค้นพบทีมชุดที่ลงตัวที่สุด และเล่นในปรัชญาใหม่ของกุนซือใหม่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งบางทีผลการแข่งขันของทีมสิงโตน้ำเงินครามก็อาจจะไม่ค่อยดีนักในช่วงแรกๆ ของฤดูกาลใหม่ และนั่นอาจจะส่งผลต่อการตั้งเป้าหมายเรื่องการทำอันดับในระยะยาวได้แบบ 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ที่ทีมไม่ได้ลุ้นติดท็อปโฟร์ แล้วสุดท้ายก็ต้องมีการเปลี่ยนตัวเฮดโค้ชอย่างรวดเร็วอยู่เรื่อยๆ

ต้องรอดูว่า เอ็นโซ่ มาเรสก้า จะได้รับโอกาสและเวลามากแค่ไหน เพราะถ้าดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปรีซีซั่น มันดูเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่เขาจะเสกให้เชลซีเล่นได้ดีขึ้นกว่าเดิมภายในระยะเวลาอันสั้น

ไม่มีข้อมูล